นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ "Bitkub Group" หนึ่งในสตาร์ตอัปที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและเป็นผู้นำตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2566 และเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ "เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี นวัตกรรม และการส่งเสริมสตาร์ตอัป และ SMEs ไทยในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ" ในวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ณ ห้อง สุขุมวิท แกรนด์ บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ
โดยประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2566 ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-24 พฤศจิกายน 2566 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ได้รับทราบนโยบายของรัฐบาล ซึ่งให้ความสำคัญกับดำเนินการต่างประเทศในยุคใหม่ที่จับต้องได้ และตอบสนองผลประโยชน์ของประเทศชาติและสร้างความกินดีอยู่ดีแก่ประชาชนผ่านการดำเนิน "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก"
การประชุมฯ ครั้งนี้ มีเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ อุปทูต และรักษาการกงสุลใหญ่ เข้าร่วม 97 คน จากสถานเอกอัครราชทูต 65 แห่ง สถานกงสุลใหญ่ 28 แห่ง คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติและอาเซียน 3 แห่ง รวมถึงสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย 1 แห่ง นอกจากนี้ ยังได้เชิญเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ จำนวน 59 แห่ง ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมด้วย
นายจิรายุส กล่าวว่า "ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจาก ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการเข้าร่วมการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกในปีนี้ ที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจดิจิทัลที่มีศักยภาพต่อการพัฒนาในการแข่งขันของประเทศได้ โดยเฉพาะในประเทศไทย เรามี Tech Start-up และกลุ่ม SMEs ที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงความสามารถในการขยายการแข่งขันไปสู่ต่างประเทศได้หลายราย และตลาดธุรกิจดิจิทัลยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก สอดรับกับแนวโน้มกระแสเทรนด์โลกที่กำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น ตนจึงอยากขอบคุณที่ยกให้เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ และบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป พร้อมเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนให้กับกลุ่ม Tech Start-up และกลุ่ม SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ต่อไป"