ชีวิตทำงานเดี๋ยวนี้บอกเลย มีแต่อาการปวดหลัง ใครจะคาดคิดว่าเป็นวัยรุ่น เป็นนักเรียน เป็นคนทำงาน อายุยี่สิบต้น ๆ สามสิบกว่า ๆ ก็บ่นปวดหลังกันอย่างกับผู้สูงอายุ กระแสในโซเชียลแฮทแท็กยอดฮิต #วัยรุ่นปวดหลัง #พยายามทำงานแทบตายสุดท้ายได้เป็นแค่คนปวดหลัง #เข้มแข็งกว่าใจก็คือ คอ บ่อ ไหล่ของเรา #งานหนักไม่เคยทำร้ายใคร ส่วนใหญ่คอ บ่า ไหล่ ตึง #ความสวยไม่จีรังปวดหลังคือถาวร จริง ๆ แล้วอาการของวัยรุ่นปวดหลังคืออะไร มีสาเหตุจากอะไร ลองมาทำความรู้จักและประเมินความเสี่ยงของวัยรุ่นปวดหลังไปด้วยกัน
ทำความรู้จักอาการของวัยรุ่นปวดหลัง
วัยรุ่นปวดหลัง มักมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน ปวดเบ้าตา ตาแห้ง ปวดหรือชา ข้อมือ นิ้วมือ ในอดีตพบได้บ่อยในกลุ่มวัยทำงาน ในปัจจุบันพบได้มากขึ้นในกลุ่ม นักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ ไอแพด มือถือเป็นเวลานาน ๆ ทางการแพทย์จัดอาการเหล่านี้เป็นกลุ่มอาการ office syndrome และด้วยความที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงานโดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานสำนักงาน จึงเป็นที่มาของชื่อโรคดังกล่าว
สาเหตุของวัยรุ่นปวดหลัง
ด้วยลักษณะการทำงานหรือการใช้งานของวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ใช้กล้ามเนื้อที่ไม่เหมาะสมในท่าใดท่าหนึ่งซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง เป็นเวลานาน หรือระยะเวลาในการทำงานที่มากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อต้องเกร็งตัวเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่มีการผ่อนคลาย ก่อให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็น หรือเส้นประสาท ส่งผลให้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอาจส่งผลให้มีความผิดปกติของร่างกายส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร หรือระบบอื่น ๆ ร่วมด้วย
office syndrome check ปัจจัยเสี่ยงของวัยรุ่นปวดหลัง
- นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือบนโต๊ะทำงานมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีการขยับเปลี่ยนท่าหรือยืดเหยียด
- ระหว่างทำงานมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก และหลัง
- ท่านั่งที่ไม่เหมาะสม นั่งหลังค่อม นั่งไขว้ห้าง นั่งห่อไหล่
- สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โต๊ะ เก้าอี้ทำงานไม่เหมาะสมกับสรีระร่างกาย หรือ ก้มเงยหน้ามากเกินไป
- ทำงานหนักจนเกินไป ใช้งานหน้าจอนอกเวลางาน
- ทำงานจนเกิดความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ทำงานจนรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
ความรุนแรงของวัยรุ่นปวดหลัง
ระยะที่ 1 >> จะมีอาการปวดเมื่อยล้า ในบริเวณที่ถูกใช้งานเป็นประจำหลังจากทำงานต่อเนื่อง 3-4 ชั่วโมง และอาการจะหายไปทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทางหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถ หากไปพบแพทย์อาจตรวจไม่พบความผิดปกติโครงสร้างร่างกาย แต่เป็นเพียงความรำคาญหรือหงุดหงิดกับอาการปวดเมื่อยล้าเท่านั้น เพราะเคยทำงานได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่มีอาการ
ระยะที่ 2 >> จะมีอาการปวดเมื่อยล้า ชา หรืออ่อนแรงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอาการร่วมกัน หลังจากทำงานไประยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ต้องลุกเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยครั้งและอาการมักจะเป็นคงค้างนาน ไม่หายไปในทันทีเมื่อเปลี่ยนท่าทาง อาจรบกวนการนอนหลับบ้าง หลังจากนอนพักอาการจะทุเลาลงบ้างเล็กน้อยและอาจมีอาการปวดตึงเมื่อตื่นนอน เมื่อลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวอาการเหมือนจะดีขึ้น แต่เมื่อกลับมาทำงานท่าเดิม ๆ ได้สักพักอาการกลับแย่ลง ระยะนี้หากดูแลตัวเองดี และทำตามคำแนะนำของแพทย์ก็จะสามารถกลับมาหายเป็นปกติได้
ระยะที่ 3 >> อาการปวด เจ็บ ตึง เสียว ชา หรืออ่อนแรงจะมากขึ้นหรือเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดอาการตลอดเวลา แม้ว่าจะแค่เพียงทำกิจวัตรประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ปวดจนแทบทนทำต่อไปไม่ได้ อาจมีผลกระทบถึงทำให้ลางาน ขาดงาน หรือต้องลาออกจากงาน เพราะไม่สามารถทำงานในหน้าที่เดิมต่อไปได้อีก อาการปวดจะรบกวนการนอน เกิดอาการนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายทรุดโทรมไม่สดชื่น ส่งผลให้ระบบอื่น ๆ ของร่างกายแปรปรวน ร่างกายเสียสมดุลทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา การรักษาต้องใช้ระยะเวลารักษาฟื้นฟูสุขภาพร่างกายยาวนาน
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานก่อนปวดหลัง
ถ้าหากคุณมีปัจจัยความเสี่ยงและอาการปวดอย่างที่กล่าวไปข้างต้นนี้ ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน ถ้าอาการไม่ทุเลาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการและทำการรักษา
การรักษาโดยแพทย์แผนจีน ใช้การฝังเข็มระบบเส้นลมปราณ ร่วมกับ รมยา เข็มอุ่น ครอบแก้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้แต่ละรายไป
- สอบถามข้อมูล หรือปรึกษาเรื่องสุขภาพได้ที่ "ทีมหมอจีน" คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว โทร 02 223 1111
- เปิดทำการทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 08:00 - 16:00 น.
- LINE OA: @huachiewtcm
- Facebook: หัวเฉียวแพทย์แผนจีนกรุงเทพ Huachiew TCM Clinic