การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดตัวโครงการ "Thais Always Care คนไทยใส่ใจเสมอ" ยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสื่อสารความห่วงใย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand สู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยวางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์เชิงรุกนำเสนอความสวยงามและเอกลักษณ์ของการท่องเที่ยวไทย เผยแพร่ผ่าน KOLs เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ โดยมีนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เป็นประธานในงานแถลงข่าวฯ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมชาย ธีรภัทรไพศาล รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย ให้เกียรติร่วมงาน ณ เซ็นทรัล คอร์ท ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย ททท. จึงได้ดำเนินโครงการ Thais Always Care คนไทยใส่ใจเสมอ โดยได้รับความร่วมมือจากกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวและผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อร่วมสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งตอกย้ำความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเพื่อนำไปสู่ความมั่นใจในการเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว
โครงการ Thais Always Care คนไทยใส่ใจเสมอ จะสื่อสารไปยังนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่าคนไทยให้ความสำคัญ เป็นห่วงความรู้สึกของนักท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับทุกคนมายังประเทศไทยซึ่งเป็น "Land of Care" โดยความหมายของคำว่า 'Care' ประกอบด้วย 'C = Compassion' ความเห็นอกเห็นใจ สะท้อนถึงความมีอัธยาศัยไมตรีและน้ำใจของคนไทย 'A= Assistant' คนไทยพร้อมช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยว 'R = Relief' มาเที่ยวไทยแล้วผ่อนคลายสบายใจ สบายกาย สบายกระเป๋า 'E = Elevate' ยกระดับมาตรฐานของสินค้าและบริการการท่องเที่ยว โดย ททท. จะให้น้ำหนักไปที่การประชาสัมพันธ์เชิงรุก ร่วมกับพันธมิตรทางการท่องเที่ยวระดับนานาชาติเผยแพร่ในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ชั้นนำและ KOLs ชาวต่างชาติ โดยจัดทำคอนเทนต์ข่าวและรีวิวแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม วิถีชีวิต ชุมชน สินค้าและบริการ เผยแพร่ความสวยงามของการท่องเที่ยวไทย โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และชาวจีนซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของไทย ตลอดจนจัดกิจกรรมร่วมกับ KOLs ให้เห็นถึงบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและนักท่องเที่ยวมีความสุข ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างการรับรู้รวม 100 ล้านคน-ครั้ง
พ.ต.อ.สมชาย ธีรภัทรไพศาล รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอย่างเต็มความสามารถ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวผ่านรูปแบบรถโมบายล์ถ่ายทอดสัญญาณไปยังส่วนกลางของตำรวจท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชัน POLICE I LERT U รองรับได้หลากหลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส เยอรมัน และอาหรับ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจ โดยจะส่งข้อมูลไปยัง War Room ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 1155 ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยรับเรื่องตลอดเวลา 24 ชั่วโมง และเป็นศูนย์กลางการประสานงานของหน่วยงานต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตที่สามารถเข้าช่วยเหลือในทันที คาดว่าจะช่วยเสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยความตั้งใจของศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ ที่จะขยายความเป็น Tourist Hub ที่สมบูรณ์มากขึ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด จึงได้ดำเนินการยกระดับมาตรความปลอดภัยภายในศูนย์การค้าในหลายส่วน โดยการติดตั้งระบบกล้องวรจรปิด CCTV ให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ศูนย์การค้าและตรวจสอบการเข้าออกของบุคคลและยานพาหนะอย่างเข้มงวด, ติดตั้งจุดตรวจสอบสัมภาระบริเวณประตูทางเข้า รวมทั้งเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยการเพิ่มการฝึกอบรมในการระงับเหตุร้ายทุกรูปแบบอยู่เป็นประจำ เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินและสามารถเข้าช่วยเหลือลูกค้าและบุคลากรได้ทันเหตุการณ์
นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า แกร็บให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับประเด็นด้านความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพิจารณาในการเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งสร้างความอุ่นใจให้กับผู้โดยสารครอบคลุมตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังการเดินทาง อาทิ การมีระบบคัดกรองพาร์ทเนอร์คนขับที่เข้มข้น การใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า (AI-Powered Facial Authentication) ก่อนให้บริการทุกครั้ง การจัดอบรมออนไลน์ด้านการขับขี่ปลอดภัย การใช้ระบบตรวจสอบการเดินทางแบบเรียลไทม์ (Real-time Trip Monitoring) ที่จะคอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของยานพาหนะตลอดการเดินทางผ่าน GPS การมีฟีเจอร์ Safety Centre แชร์ข้อมูลการเดินทางได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถขอความช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น ซึ่งเรามั่นใจว่าด้วยมาตรฐาน เหล่านี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวได้ไม่มากก็น้อย
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าว จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย พร้อมกับเสริมความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวนำไปสู่การสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยกระดับภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว