นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ให้ความสำคัญกับช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาภาคธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และปรับเป็นมาตรการช่วยเหลือแบบเฉพาะจุดหลังสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น โดยยึดหลักการช่วยเหลืออย่างครบวงจรและยั่งยืน ถึง ณ ปัจจุบัน ยังมียอดภาระหนี้ที่ธนาคารและสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลืออีกกว่า 3.4 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 6.1 ล้านบัญชี
ภาคธนาคารตระหนักถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ความมั่นคงและการเติบโตของเศรษฐกิจ จึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีอยู่เดิม และมาตรการเพิ่มเติมที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา โดยสำหรับปี 2567 จะเป็นการดูแลลูกหนี้สอดรับกับการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ และการแก้ไขปัญหาหนี้ ภายใต้ความร่วมมือของสมาคมธนาคารไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมี 3 แนวทางมาตรฐาน คือ
ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ลูกหนี้ก็จำเป็นต้องปรับตัว มีวินัยทางการเงินเพิ่มขึ้น และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ เช่น ไม่ใช้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนไปกับการบริโภคที่ไม่จำเป็นและเกินกำลังจนไม่สามารถปิดจบหนี้ในแต่ละรอบงวดได้ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ภาคธนาคารจึงให้ความสำคัญกับให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนทุกระดับ เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องวินัยทางการเงินอย่างถูกต้อง เข้าใจถึงความสำคัญของข้อมูลเครดิต และนำไปปฏิบัติ ก่อให้เกิดพฤติกรรมทางการเงินที่ดี สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน เป็นเกราะป้องกันภัยทางการเงินที่มาในทุกรูปแบบ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่การวางแผนทางการเงิน เพื่อความมั่นคงในระยะยาว
สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกยังให้ความสำคัญในการผลักดันการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างจากการที่ไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพหรืออาจมีศักยภาพลดลง ทั้งยังก่อให้เกิดการเข้าไม่ถึงสินเชื่อและมีความเหลื่อมล้ำสูง นำไปสู่การพึ่งพาหนี้นอกระบบที่ราคาแพง ดังนั้น การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต้องแก้ด้วยการดึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้ามาในระบบให้มากที่สุด ส่งเสริมการแข่งขันแบบเสรีไม่ผูกขาด บนพื้นฐานของการมีข้อมูลและความโปร่งใสและกฎกติกาที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ให้บริการสินเชื่อทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร non-bank สหกรณ์ โดยเร่งผลักดันการปฏิรูปข้อมูลหนี้ทั้งในและนอกระบบ สร้างฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้มากขึ้นโดยให้สหกรณ์เข้าสู่ระบบข้อมูลเครดิตแห่งชาติให้ครบถ้วน รวมถึงการนำข้อมูลทางเลือกอื่นๆมาใช้ ซึ่งภาคธนาคารหวังว่าจะทำให้สามารถประเมินศักยภาพของผู้ประกอบอาชีพอิสระและพ่อค้าแม่ค้าได้ดียิ่งขึ้นทั้งในด้านความสามารถหรือความตั้งใจในการชำระหนี้ จากที่ผ่านมามักถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อจากผู้ให้บริการในระบบแม้ขอกู้เงินในวงเงินไม่มาก เนื่องจากไม่มีข้อมูลแสดงรายได้ ไม่มีรายได้ประจำ ไม่มีหลักประกัน ไม่มีข้อมูลประวัติการชำระค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ในการประเมินรายได้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกำลังในการก่อหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากลูกหนี้ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอคำปรึกษาการแก้ปัญหาหนี้ สามารถติดต่อธนาคารผ่านสาขา Call Center เจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือฝ่ายงานที่ดูแลสินเชื่อของลูกหนี้