นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 37 ในเดือนมกราคม 2567 ภายใต้หัวข้อ "ดอกเบี้ยสูง หนี้พุ่ง อุตสาหกรรมไปต่ออย่างไร" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ค่อนข้างมีความกังวลกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะดำเนินนโยบายในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% เป็นระยะเวลานาน ซึ่งต้องเข้าใจว่าที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พยายามอย่างมากที่จะสร้างสมดุลในการบริหารนโยบายการเงินของประเทศ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจและการเสริมสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบค่อนข้างมากกับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุดของผู้ประกอบการในประเทศ และกำลังอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 และการต้องเร่งปรับธุรกิจเพื่อรับมือกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกตัวในช่วงปีที่ผ่านมา
ในประเด็นเรื่องส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือ Spread ของธนาคารพาณิชย์ ที่มีความห่างมากเกินไปเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศในอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการชะลอการขยายธุรกิจหรือการลงทุนใหม่ เพิ่มความเสี่ยงขาดสภาพคล่องทางการเงินและการผิดนัดชำระหนี้ รวมทั้งกระทบต่อกำลังซื้อสินค้าของประชาชน ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาออกมาตรการกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยทั้งในส่วนของเงินฝากและสินเชื่อ รวมทั้งมีการประกาศกำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบที่ภาครัฐอยู่ระหว่างดำเนินการนั้น จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับประชาชน ภาคเกษตรกรรม และภาคธุรกิจที่สะสมมานานได้ในระดับปานกลาง โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรมเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อพัฒนาศักยภาพในกระบวนการผลิตและเสริมสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งควรช่วยพิจารณาปรับลดเงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 230 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก
46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 37 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
อันดับที่ 1 : ปานกลาง 49.1%
อันดับที่ 2 : มาก 44.8%
อันดับที่ 3 : น้อย 6.1%
อันดับที่ 1 : ผู้ประกอบการชะลอการขยายธุรกิจ หรือชะลอการลงทุนใหม่ 67.8%
อันดับที่ 2 : เกิดความเสี่ยงขาดสภาพคล่องทางการเงิน และการผิดนัดชำระหนี้ 61.3%
อันดับที่ 3 : กำลังซื้อสินค้าของประชาชนลดลงจากการระมัดระวังการใช้จ่าย 60.4%
อันดับที่ 4 : กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 53.9%
และซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือน
อันดับที่ 1 : ออกมาตรการกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินและประกาศกำหนดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่เหมาะสม 80.0%
อันดับที่ 2 : ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของสถาบันการเงินเป็นไปตามกลไกตลาด 20.0%
อันดับที่ 1 : สนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับ SMEs ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและปรับลดเงื่อนไขการเข้าถึงสินเชื่อให้สะดวกยิ่งขึ้น 74.3%
อันดับที่ 2 : ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 52.2%
อันดับที่ 3 : ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) 50.9%
อันดับที่ 4 : จัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนสินเชื่อในการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย 47.0%
(Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจและปรับแผนธุรกิจ 70.4%
อันดับที่ 2 : ชะลอการลงทุนและการจ้างงาน ปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน 57.4%
อันดับที่ 3 : ปรับการบริหารเครดิตเทอมทั้งในส่วนของเจ้าหนี้และลูกหนี้การค้าเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน 37.8%
อันดับที่ 4 : เจรจาปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถของธุรกิจหรือเปลี่ยน/ย้ายสถาบันการเงินเพื่อรีไฟแนนซ์ให้ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง 36.5%
อันดับที่ 1 : ปานกลาง 42.6%
อันดับที่ 2 : มาก 34.3%
อันดับที่ 3 : น้อย 23.1%