PLANET คว้างาน Solar Roof จาก CJ เริ่มต้น 50 สาขา ขนาด 1.5 MW ล่าสุดดำเนินการแล้วเสร็จ พร้อมซื้อขายไฟแล้ว จำนวน 5 สาขา บิ๊กบอส "ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" ชี้สัญญาณธุรกิจพลังงานทางเลือกสดใส มีโอกาสคว้างานได้เพิ่ม เหตุลูกค้าเชื่อมั่น หลังผลงานการันตี แถมเทคโนโลยี อัจฉริยะ ลุยเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเต็มสูบ ใน 3 กลุ่มหลัก คือกลุ่มที่อยู่อาศัย ,กลุ่มกิจการพาณิชย์และอุตสาหกรรม และ กลุ่มโครงการขนาดใหญ่ ตั้งเป้ามุ่งหวังใช้เทคโนโลยียกระดับ สู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero-Carbon)
นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANET เปิดเผยว่า ตามที่ บริษัท แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แพลนเน็ต อีวี จำกัด (PlanetEV) บริษัทย่อย ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) หรือ PPA (Power Purchase Agreement) กับ บริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด (CJ) ผู้ประกอบธุรกิจร้านสะดวกซื้อ สำหรับสาขาร้าน CJ Supermarket และ CJ MORE จำนวนในเบื้องต้น 50 สาขา ขนาดกำลังการผลิตรวมประมาณ 1.5 เมกะวัตต์ (MW) นั้น ล่าสุด PlanetEV ดำเนินการแล้วเสร็จ พร้อมซื้อขายไฟแล้ว จำนวน 5 สาขา ประกอบด้วย สาขา สายไหม 17, บางบอน 4, เทียนทะเล 20, ลาดพร้าว 101 และเพชรเกษม 81 ขณะที่สาขาอื่นๆบริษัทฯอยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งมีความคืบหน้าที่ดี
นายประพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในสัญญา บริษัทฯ จะเป็นผู้ออกแบบและลงทุนดำเนินการก่อสร้างระบบการจัดการและการผลิตและควบคุมพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อขายไฟให้กับ บริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด (CJ) เป็นระยะเวลา 10 ปี ทั้งนี้ มองว่า ธุรกิจในกลุ่มสินค้าและบริการทางด้านระบบสาธารณูปโภคและพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะงานให้บริการติดตั้งและบริหารจัดการควบคุมการผลิตพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์แบบครบวงจร (Solar Cell) ของบริษัทฯ นั้น ถือว่าอยู่ในทิศทางการเติบโตที่ดี
โดยยังมีอีกหลายโครงการ ที่มีโอกาสจะได้งานเข้าเพิ่มเติม หลังจากบริษัทฯ มีการเดินหน้าเจรจากับหลายภาคธุรกิจ กลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มหลักคือ 1. กลุ่มสำหรับที่อยู่อาศัย 2. กิจการพาณิชย์และอุตสาหกรรม และ 3.ระดับสาธารณูปโภค โครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องการผลิตไฟฟ้าจำนวนมากๆ เป็นต้น
" แม้บริษัทฯจะเริ่มธุรกิจในด้านนี้ได้ไม่นาน แต่จากการที่ยังมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากการต่อยอดผลจากการดำเนินโครงการบริการจัดการไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ของบริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด ภายในบริเวณบ่อน้ำ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง มูลค่ารวม 180 ล้านบาท ที่บริษัทฯดำเนินการในช่วงปีที่ผ่านมา
และส่วนสำคัญ ที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า มาจากระบบการจัดการและควบคุมการผลิตพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ของบริษัทฯ ที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สามารถควบคุมการส่งไฟฟ้าเข้าระบบได้อย่างแม่นยำ ดูแลและควบคุมระบบพลังงานแสงอาทิตย์ แก้ปัญหาลดการสูญเสียได้อย่างอัจฉริยะ มีประสิทธิภาพและมีความเสถียรสูงสุด
ที่สำคัญที่สุด คือ เราสามารถช่วยให้ลูกค้า ประหยัดพลังงานลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และเสริมคุณค่าสร้างภาพลักษณ์เรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทฯ เน้นให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม (ESG) ลดปัญหาโลกร้อน โดยมุ่งการนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อยกระดับและพัฒนาประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (Zero-Carbon)" นายประพัฒน์กล่าว