กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--ก.ล.ต.
ก.ล.ต. จัดระเบียบการลงทุนในตั๋วเงิน (B/E) ของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยกรณีที่ตั๋วเงินมี rating ต่ำกว่า investment grade หรือไม่มี rating จะต้องมี market maker ที่พร้อมกำหนดราคารับซื้อ และต้องเป็นตั๋วเงินที่ไปขึ้นทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย
คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนใน
ตั๋วเงินของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดย
(1) กรณีที่ลงทุนในตั๋วเงินที่ได้รับการจัดอันดับในระดับ investment grade ไม่เปลี่ยนแปลง
(2) กรณีที่ลงทุนในตั๋วเงินที่ไม่ได้รับการจัดอันดับ หรือ ได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า investment grade
ในจำนวนตั๋วเงินที่ออกแต่ละครั้ง จะต้องมีผู้ซื้อเกินกว่า 10 ราย โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนร่วมซื้อไม่ต่ำกว่า 3 บริษัท
ตั๋วเงินดังกล่าวต้องทำการขึ้นทะเบียนกับศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย (TBDC) เพื่อให้เป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลสถิติ และ
ผู้รับประกันการจำหน่ายหรือผู้จัดจำหน่ายตั๋วเงินนั้น จะต้องทำหน้าที่เสนอราคาพร้อมรับซื้อจริงอยู่เสมอ (bid price แบบ firm quote) ในจำนวนและวิธีการตามที่ TBDC กำหนด และส่งสำเนา bid price ให้ TBDC ทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้มีราคาตลาดอ้างอิงและส่งเสริมสภาพคล่องของตั๋วเงิน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ ขณะนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้มีการลงทุนในตั๋วเงินที่ไม่มี rating อยู่เพียง 8% ของ NAV รวม ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก และ ตั๋วเงินดังกล่าวส่วนใหญ่ก็เป็นตั๋วที่ออกโดยบริษัทที่ทำธุรกิจมานานและเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เช่น เป็นบริษัทในเครือของบริษัทข้ามชาติ เป็นต้น แต่ ก.ล.ต. เห็นว่าจำเป็นต้องจัดระเบียบเพิ่มเติม ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้มีการพิจารณาความเสี่ยงที่รอบคอบมากขึ้น และมีข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ”
“ ก.ล.ต. ต้องการเน้นให้ราคาตลาดของตั๋วเงินเหล่านี้ที่ใช้อ้างอิงเพื่อคำนวณ NAV เป็นไปโดยถูกต้องจึงได้กำหนดให้ต้องมีบริษัทหลักทรัพย์เสนอราคาพร้อมรับซื้อจริง และจะให้ TBDC เป็นผู้ทำหน้าที่ติดตามเรื่องนี้ และหาก TBDC พบว่าบริษัทหลักทรัพย์ใดมีการเสนอราคาที่ไม่เป็นราคาที่แท้จริง ก็จะส่งผลลบต่อการที่บริษัทดังกล่าวจะทำธุรกิจเกี่ยวกับตราสารหนี้ที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. ในอนาคตได้ ”
“ เพื่อให้เกณฑ์ใหม่นี้มีผลกระทบกับผู้ออกตั๋วเงินน้อยที่สุด จึงให้เวลาในการเตรียมตัว โดยให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไป "--จบ--