กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--วีโร่ พับลิก รีเลชั่นส์
เฮงเค็ล (Henkel) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีกาวคุณภาพหลากชนิด ควบรวบกลุ่มธุรกิจกาว และกลุ่มธุรกิจวัสดุอิเล็กทรอนิก (Adhesives and Electronic Materials) ซึ่งเดิมเป็นของ เนชันแนล สตาร์ช (National Starch) หวังต่อยอดเพิ่มศักยภาพ และความแข็งแกร่งในตลาด
นายอูลริช เลฮ์เนอร์ (Mr Ulrich Lehner) ประธานคณะกรรมการบริหารของเฮงเค็ล กล่าวว่า “การควบรวมธุรกิจครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์กว่า 130 ปีของเฮงเค็ล และจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงทิศทางการเติบโตทางผลกำไรของเราด้วย” โดยการควบรวมธุรกิจนี้เป็นการจำหน่ายกลุ่มธุรกิจของเนชันแนล สตาร์ช ต่อให้เฮงเค็ล ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบด้านการป้องกันการผูกขาดและความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
ในปี 2550 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจทั้งสองของ เนชันแนล สตาร์ช ได้สร้างยอดขายถึง 1,250 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,830 ล้านยูโร) โดยมูลค่าการซื้อกิจการในครั้งนี้คิดเป็นเงิน 2,700 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,953 ล้านยูโร) ซึ่งการควบรวมธุรกิจจะส่งผลให้ยอดขายต่อปี ในส่วนธุรกิจเทคโนโลยีกาวของเฮงเค็ลเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 ล้านยูโร ทั้งนี้ เฮงเค็ลคาดการณ์ว่าผลประโยชน์จากการประสานธุรกิจเข้าด้วยกันจะมีมูลค่า 240 ถึง 260 ล้านยูโรต่อปี และเฮงเค็ลคาดหวังว่ากระบวนการประสานธุรกิจจะแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ในปี 2554 เป็นต้นไป
การควบรวมกลุ่มธุรกิจกาว และกลุ่มวัสดุอิเล็กทรอนิก ของเนชันแนล สตาร์ช จะเสริมศักยภาพให้เฮงเค็ลก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์กาว ในตลาดของกลุ่มอุตสาหกรรมได้อีกขั้นหนึ่ง เพราะกลุ่มธุรกิจทั้งสองของเนชันแนล สตาร์ช และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวของเฮงเค็ลในปัจจุบัน สามารถช่วยกันผลักดัน และส่งเสริมศักยภาพ และความแข็งแกร่งซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีการควบรวมธุรกิจในครั้งนี้ จะส่งผลโดยตรงต่อส่วนธุรกิจกาวสำหรับบรรจุภัณฑ์, ส่วนธุรกิจกาวสำหรับงานไม้ และส่วนธุรกิจอิเลคทรอนิคส์ของเฮงเค็ล เนื่องจาก หากเฮงเค็ลมีส่วนแบ่งในตลาดผลิตภัณฑ์ลามิเนท ในอุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารในอัตราสูง ในขณะเดียวกัน เนชันแนล สตาร์ช ก็เป็นผู้นำในด้านกาวที่ยึดติดด้วยแรงกด ดังนั้น ผลของการควบรวมธุรกิจจึงทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำผลิตภัณฑ์ไปประยุกต์ใช้ในลักษณะงานใหม่ๆ ก็จะได้รับการพัฒนาต่อไปอีกด้วย
สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิคส์นั้น เนชันแนล สตาร์ช มีผลิตภัณฑ์กาวแบบพิเศษซึ่งสามารถผนึกวงจรรวมอิเลกทรอนิกส์ (Chips) เข้าด้วยกัน เช่น บัตรเครดิต ในขณะที่เฮงเค็ลมีผลิตภัณฑ์กาวที่สามารถป้องกันไม่ให้วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ เกิดความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น จากความร้อน หรือจากรังสีของดวงอาทิตย์ การควบรวมของธุรกิจทั้งสองนี้ จึงช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ทั้งสองจากผู้ให้บริการรายเดียว
ในขณะเดียวกัน เฮงเค็ลก็เล็งเห็นศักยภาพในตลาดระดับภูมิภาค โดยยอดขายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มขึ้นจาก 8 เปอร์เซ็นต์เป็น 12 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมของเฮงเค็ล และด้วยการควบรวมกับกลุ่มธุรกิจของเนชันแนล สตาร์ช ผนวกกับความแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ของทั้งสองบริษัท จึงมั่นใจได้ว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดของกลุ่มธุรกิจกาวในภูมิภาคนี้ จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำในตลาดยังส่งเสริมให้เฮงเค็ล สามารถเร่งอัตราการขยายตัวด้วยเทคโนโลยี และตราสัญลักษณ์ของ เนชันแนล สตาร์ช ในภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปตะวันออก โดยผ่านเครือข่ายการขาย และการจัดการของเฮงเค็ลที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
“การปิดดีลในครั้งนี้ ถือว่าเราได้กลุ่มธุรกิจที่ดีจากบริษัทที่ยอดเยี่ยม พร้อมกับบุคลากรที่มีคุณภาพ ดังนั้น เราจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มศักยภาพ และความแข็งแกร่งทางการตลาดของเรา” นายอูลริช เลฮ์เนอร์ กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ เฮงเค็ลมีนโยบายที่จะเผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับกระบวนการประสานธุรกิจ พร้อมกับผลประกอบการประจำไตรมาสแรก ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2551