กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--กรมการค้าต่างประเทศ
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ กรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าภายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม จะมีการเสนอปรับปรุงข้อบังคับ (Council regulation) เรื่องการจัดตั้งระบบใบอนุญาต FLEGT (Forest Law Enforcement, Governance and Trade) สำหรับการนำเข้าไม้ในอียู ที่ได้ประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2548 ซึ่งเป็นระบบแบบสมัครใจ และอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการควบคุมการนำเข้าไม้ในอียู โดยเฉพาะไม้ที่ผิดกฎหมาย คณะกรรมาธิการจึงเสนอให้มีการปรับปรุงข้อบังคับดังกล่าวเพื่อเป็นการรับประกันว่าไม้ที่นำเข้าในอียูเป็นไม้ที่ตัดโดยถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนและมีระบบการตรวจสอบควบคุมที่ถูกต้อง โดยเป็นความร่วมมือแบบสมัครใจกับประเทศที่สาม (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ซึ่งขณะนี้อียูอยู่ระหว่างเจรจากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย และกานา
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่าเนื่องจากผู้บริโภคในตลาดอียูนิยมเฟอร์นิเจอร์ไม้มาก โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึงร้อยละ 65 ของมูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์รวม และนิยมเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ทุก 2-3 ปี ดังนั้น หากในอนาคตไทยมีความร่วมมือ VPA กับอียู ข้อกำหนด FLEGT ก็อาจมีผลต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปและเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ไม้แปรรูปเป็นวัตถุดิบไปอียู ซึ่งจะต้องเข้าสู่ระบบ Licensing scheme ของอียู ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือ VPA ตามข้อกำหนดดังกล่าวมีผลดีในการป้องกันการนำเข้าไม้ที่เกิดจากกระบวนการค้าไม้ที่ผิดกฎหมายระหว่างลาวกับเวียดนามและลาวกับไทย ขณะเดียวกันยังเป็นการลดภาวะการลดลงของพื้นที่ป่าไม้ (deforestation) อีกด้วย รวมทั้งได้รับความสะดวกในการนำเข้าไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ไม้ไปอียู อย่างไรก็ดี ข้อกำหนด FELGT อาจมีผลเสียที่ทำให้โครงสร้างราคาไม้สูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นจากการดำเนินการตามข้อกำหนดของอียู
ทั้งนี้ในปี 2550 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปไปสหภาพยุโรปมูลค่า 129 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่งออกมูลค่า 142 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 9