กรุงเทพฯ--8 พ.ค.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
9 พ.ค.นี้ MILL ได้รับอนุมัติจาก ตลท.ให้ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าไปซื้อขายใน SET ผู้บริหารระบุช่วยเพิ่มน้ำหนักในด้านความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น พร้อมสะท้อนให้เห็นถึงฐานะกิจการที่แข็งแกร่งขึ้น จากทุนจดทะเบียนและผลการดำเนินงานที่ทำกำไรต่อเนื่อง ส่วนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้หลังเข้าลงทุนเหล็กบูรพาฯ ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 800,000 ตันต่อปี จากเดิม 500,000 ตันปี เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2551 นี้
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) (MILL) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท ได้ยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาอนุมัติให้หลักทรัพย์ของบริษัททำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นว่า MILL มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน พ.ศ. 2544 ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดให้หลักทรัพย์จดทะเบียนของ MILL จำนวน 400,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทรวม 400,000,000 บาท ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (SET) โดยจัดให้อยู่ในหมวดวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) และใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ MILL เช่นเดิม ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป
สำหรับการคำนวณ Ceiling & Floor ของหลักทรัพย์ MILL ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2551ให้ใช้ราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของหลักทรัพย์ดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นฐานในการคำนวณ Ceiling & Floor ตามปกติ กล่าวคือกำหนดให้ราคาซื้อขายหุ้นสามัญของ MILL บนกระดานหลักใน SET มีราคาสูงสุดและต่ำสุดไม่เกิน 30% จากราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายบนกระดานหลักใน mai
"การย้ายเข้าไปซื้อขายใน SET ผมเชื่อว่าจะก่อให้เกิดผลดีกับ MILL ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเพิ่มน้ำหนักในด้านความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติได้มากยิ่งขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึงฐานะกิจการของ MILL ว่ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น จากทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นและผลการดำเนินงานที่มีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องมาร์เก็ตแค็ปปัจจุบัน MILL อยู่ที่ระดับประมาณ เกือบ 3,000 ล้านบาท (ยังไม่รวมในส่วนที่เพิ่มทุน) ในอนาคตเราคาดหวังว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามผลประกอบการที่คาดว่าจะเติบโตขึ้น ซึ่งบริษัทไม่ได้หยุดนิ่งหากมีโอกาสที่เข้ามา และทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ก็พร้อมจะทำเพื่อบริษัทและผู้ถือหุ้นด้วย"
เขากล่าวต่อถึงการดำเนินธุรกิจว่าหลังจากที่ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการเข้าลงทุนในบริษัท เหล็กบูรพาอุตสาหกรรม จำกัด โดย MILL ได้เข้าถือหุ้นแล้ว 85.10% เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2551 นั้นบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ได้ทันทีตั้งแต่ไตรมาส 2/2551 ซึ่งการเข้าลงทุนดังกล่าวทำให้ MILL มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 ตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 500,000 ตันต่อปี แบ่งเป็นเหล็กเส้น 250,000 ตันต่อปี และเหล็กรูปพรรณ 250,000 ตันต่อปี ส่วนเหล็กบูรพา มีกำลังการผลิตเหล็กเส้น 300,000 ตันต่อปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าว จะเป็นหลักสำคัญที่ผลักดันให้ผลประกอบการของ MILL ขยายตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
นอกจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว MILL ยังได้รับประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จากการลงทุนครั้งนี้คือเพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบในการสั่งซื้อวัตถุดิบ ซึ่งจะทำให้สามารถลดต้นทุนของวัตถุดิบได้ และช่วยประหยัดค่าขนส่ง (Logistic Cost) ทั้งการขนส่งวัตถุดิบที่สามารถขนส่งรวมกันได้ และการจัดส่งสินค้าเพราะจากการมีโรงงานการผลิตสองแห่งจะทำให้แบ่งโซนดูแลลูกค้าได้ โดยโรงงานของเหล็กบูรพาซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่อุตสาหกรรมภาคตะวันออกได้ทันที ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าของ MILL ด้วยซึ่งจะสะท้อนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นตามต้นทุนที่ลดลง
นายสิทธิชัยกล่าวในช่วงท้ายถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็ก ว่ามีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตามทิศทางเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม และการพัฒนาประเทศที่จะมีโครงการใหญ่เกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ปีที่ผ่านมามีหลายโครงการได้ชะลอการก่อสร้างลง เพื่อรอความชัดเจนทางด้านการเมืองและภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ตัวเลขการเติบโตชะงักไประยะหนึ่ง ส่วนราคาเหล็กในระยะสั้นคาดว่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ และปริมาณความต้องการเหล็กที่สูงขึ้นทั้งตลาดในประเทศ และตลาดโลก จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และความต้องการใช้เหล็กที่พุ่งสูงขึ้นของประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก
สุดท้ายนี้ บริษัทต้องขอขอบพระคุณ คุณชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่แนะนำพร้อมให้คำปรึกษากับบริษัทฯ เป็นอย่างดี จนสามารถเติบโตและก้าวมาถึงวันนี้ได้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ปภาดา สุวรรณกูฎ 02-5549394 / 085-1330184