บมจ.ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ (I2) เปิดเกมรุกตั้ง 2 บริษัทย่อย "กรีนโนเปีย-อินไซท์ เอไอ" ลุยรับงาน โซลูชั่น ESG-AI สร้าง New S-Curve รับ Digital Transformation และ Industry 4.0 ฟากบิ๊กบอส "อธิพร ลิ่มเจริญ"มั่นผลงานปี 67 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โชว์ Backlog แน่น 1.8 พันล้านบาท ดันรายได้โต 20% ตามนัด! พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท
นายอธิพร ลิ่มเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (I2) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้จัดตั้ง 2 บริษัทย่อยขึ้นมาใหม่ ประกอบด้วย บริษัท กรีนโนเปีย จำกัด ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา พัฒนา และจัดจำหน่ายโซลูชั่นด้าน ESG ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ที่สนใจเรื่อง ESG หรือได้รับผลกระทบจากนโยบาย Net Zero และบริษัท อินไซท์ เอไอ จำกัด เพื่อจำหน่าย พัฒนาและติดตั้งโซลูชั่น ด้าน IT และ AI ให้กับบริษัทฯ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเน้นทางด้าน Digital Transformation และ Industry 4.0
"การตั้ง 2 บริษัทฯย่อย เพื่อขยายฐานลูกค้าด้านโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับ ESG และโซลูชั่น ด้าน IT และ AI มั่นใจว่าจะช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนในอนาคต สอดรับ Mega Trend โลก สร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจ"
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้แตะ 1,500 ล้านบาท เติบโต 20% นิวไฮต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจด้านประหยัดพลังงาน (Energy) โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,800 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนร่วมประมูลงานใหม่มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท สนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วง 1-2 ปี ข้างหน้าเติบโตก้าวกระโดด
"แผนการดำเนินงานในปี 2567 เรายังคงดำเนินงานตาม Solution ของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับด้าน ESG การใช้พลังงานหมุนเวียน การประหยัดพลังงาน การลดก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงการสรรหาลูกค้าใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีแผนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับด้าน ESG และด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องเมกะเทรนด์"นายอธิพร กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร I2 กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจไอทีและเทคโนโลยี ในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการสนับสนุนของภาครัฐ และการขยายการลงทุนของภาคเอกชน ถือเป็นโอกาสของธุรกิจคลาวด์ ธุรกิจความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูล และ AI ซึ่งปัจจุบันบริษัทเอกชน และภาครัฐ หันมาใช้ข้อมูล AI เพื่อวิเคราะห์ธุรกิจ และลูกค้ามากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทฯในการเข้ารุกธุรกิจ และมีโอกาสการได้รับงานมากขึ้น จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านไอทีมาเป็นเวลายาวนาน
อนึ่ง ผลการดำเนินงานในปี 2566 ของบริษัทฯมีรายได้รวม 1,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 484 ล้านบาท หรือ 52% เทียบปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 943 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท หรือ 90% เทียบปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัทฯ ได้รับงานโครงการซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) โครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ 3 ปี ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) เป็นเงินสดในอัตรา 0.068 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567