บลจ.ไทยพาณิชย์ ตอบรับนักลงทุน ลุยเปิดกองทุน SCBDSHARC1YJ เผยกลยุทธ์ลงทุนที่ลดเสี่ยงขาดทุนเงินต้น ควบคู่โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม จากสัญญาออปชั่นอ้างอิง HSCEI Index เสนอขาย 26 มี.ค. - 5 เม.ย. 67
นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่อนคลายการดำเนินนโยบายด้านการเงินมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง มี Sentiment การลงทุนปรับตัวดีขึ้น ทำให้ทิศทางเงินทุนมีโอกาสไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หนึ่งในนั้นคือตลาดหุ้นจีน ที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนยังต้องใช้ระยะเวลา และตลาดหุ้นจีนอาจยังเกิดความผันผวนระหว่างทางได้ SCBAM มองว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมาค่อนข้างมากแล้ว ความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงต่อแบบรุนแรงในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจึงค่อนข้างมีจำกัด ดังนั้น การลงทุนกับตลาดหุ้นจีนขนาดใหญ่อย่างตลาดหุ้น H-Shares หรือ Hang Seng China Enterprises (HSCEI Index) จึงยังมีความน่าสนใจ ประกอบกับที่ SCBAM ได้นำเสนอกลยุทธ์การลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้นและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการปรับตัวของดัชนีทั้งในจังหวะขาขึ้นและขาลงในช่วงก่อนหน้า ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างมาก SCBAM จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1YJ หรือ SCBDSHARC1YJ ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีและสัญญาออปชั่นที่อ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดัชนี Hang Seng China Enterprises หรือ HSCEI Index ต่อเนื่อง โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 26 มีนาคม - 5 เมษายน 2567 เริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Double Structured Complex Return 1YJ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ SCBDSHARC1YJ กองทุน Complex Fund อายุ 1 ปี ที่มีนโยบายการลงทุนแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ (1) ลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากระดับ Investment Grade ทั้งในและต่างประเทศ ในสัดส่วนร้อยละ 98.30 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) ทำให้มีความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ (default risk) ในระดับต่ำ จึงเป็นการลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้นพร้อมมีโอกาสรับผลตอบแทนคงที่จากตราสารหนี้ที่เข้าไปลงทุนได้ (2) ลงทุนในสัญญาออปชั่นที่อ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดัชนี Hang Seng China Enterprises หรือ HSCEI Index ร้อยละ 1.70 ของ NAV เพื่อหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเปลี่ยนแปลงของราคาดัชนี HSCEI ทั้งขาขึ้นและขาลงที่ไม่เกินกรอบการพิจารณาการรับผลตอบแทน +/- 27% (Knock out level) โดยจะมี Strike Level ที่ +/-5% ประกอบการพิจารณาในผลตอบแทนส่วนที่ 2 นี้(*) เมื่อเทียบกับราคาสินทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญา ก็จะทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มสูงสุดที่เป็นไปได้ที่ 11% ซึ่งหากราคาดัชนีอ้างอิงเปลี่ยนแปลงเกินกว่า Knock out level ที่กำหนดไว้ระหว่างอายุสัญญา หรือเปลี่ยนแปลงไม่เกินกว่า Strike level ณ วันพิจารณาสัญญา อาจทำให้ผู้ลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มนี้ แต่ยังคงได้รับผลตอบแทนในอัตราคงที่จากการลงทุนในส่วนของตราสารหนี้และเงินฝาก
นางนันท์มนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า "จากที่จีนออกมาตรการภาครัฐเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคและเสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ GDP ของจีนในไตรมาส 4/66 และตลอดทั้งปี 2566 สามารถเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.2% yoy ใกล้เคียงเป้าหมายที่ทางรัฐตั้งไว้ที่ 5% โดยในปีนี้ จีนยังคงเป้าหมายการเติบโต GDP อยู่ที่ 5% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวและระยะสั้น ทั้งนี้ จากตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจีนที่ปรับตัวเชิงบวก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น แต่ยังมีมูลค่าตลาดยังอยู่ระดับไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น อีกทั้ง นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นจีนอีกครั้ง อย่างไรก็ดี เส้นทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะถัดไป ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่าจะฟื้นตัวแบบมีคุณภาพตามแผนนโยบายและเป้าหมายที่ภาครัฐตั้งไว้ได้หรือไม่ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นจีนอาจอยู่ในสภาวะ Sideway อีกซักระยะ ดังนั้น การลงทุนที่ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มของการปรับตัวดัชนีตลาดหุ้นจีนทั้งในขาขึ้นและขาลงแบบ Twin-win จึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์กับนักลงทุนอย่างมากในช่วงนี้"