Smart Factory หรือโรงงานอัจฉริยะ คือการผสานกันระหว่างการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร เทคโนโลยีใหม่ และพนักงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความสามารถที่สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงและสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงสู่ Smart Factory อย่างชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ อาทิ อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ
ทว่า มิใช่ผู้ประกอบการทุกรายที่จะสามารถพัฒนา Smart Factory ได้อย่างราบรื่น เพราะส่วนมากต้องประสบความท้าทายมากมายในการเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นความกังวลใจในเรื่องการขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจนหรือไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี LiB Consulting บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งด้านการวางกลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Strategy) และด้านการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมผู้ผลิตสู่ Smart Factory ได้ทำการศึกษาถึงปัจจัยกระตุ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจในเบื้องต้นเกี่ยวกับ Mega Trend ที่กำลังจะเข้ามามีอิทธิพลในทุก ๆ อุตสาหกรรมบนโลกใบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรทำความเข้าใจถึง 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ปัจจัยเชิงเทคโนโลยี (Technological Factor) ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจนก่อให้เกิดเป็นระบบเศรษฐกิจแบบ On-Demand เพื่อตอบสนองความต้องการได้แบบฉับพลัน อย่างไรก็ดี ความสะดวกรวดเร็วนี้ก็ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดความระส่ำระสายไปด้วย เพราะผู้บริโภคทั่วโลกสามารถสั่งซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจึงกลายเป็นความท้าทายต่อทุก ๆ อุตสาหกรรมที่จะต้องวางกลยุทธ์ใหม่ให้ทันต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค
- ปัจจัยเชิงการเมืองและสิ่งแวดล้อม (Political and Environmental) นโยบายทางการเมืองด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวและเป้าหมาย Net Zero Emissions กลายเป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อโลก ผ่านแนวทางลดการใช้พลังงาน การใช้เทคโนโลยีในขั้นตอนการผลิตและคลังสินค้าและการขนส่ง การเลือกใช้พลังงานสะอาด เป็นต้น ซึ่งเห็นได้ว่าบริษัทที่ได้รับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มักมีตัวเลขการส่งออกที่ดีเพราะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าได้
- ปัจจัยเชิงสังคม (Societal Factor) นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก อาทิ การที่รัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ผู้ประกอบการต้องรับภาระต้นทุนที่สูงเพิ่มขึ้นและกลายเป็นตัวผลักดันให้เข้าสู่การพัฒนา Smart Factory เพื่อรักษาสมดุลทางธุรกิจไปพร้อม ๆ กับการทลายขีดจำกัดทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค
การตระหนักถึงเป้าหมายหลักของ Smart Factory
LiB Consulting ได้ทำการวิเคราะห์และนำเสนอเป้าหมายเพื่อให้องค์กรสามารถเปลี่ยนแปลงสู่ Smart Factory ได้อย่างเข้มแข็งและเป็นรูปธรรม โดยจำเป็นต้องตระหนักถึงเป้าหมายในการพัฒนาทั้ง 4 ด้าน คือ
เดินหน้าสู่การพัฒนา Smart Factory ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ
การพัฒนา Smart Factory คือการนำเทคโนโลยีที่จำเป็นมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของอุตสาหกรรม โดยสามารถแบ่งการดำเนินเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ๆ ได้แก่
- การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy)
การวางกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก คือ วิสัยทัศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformation aspiration): ผ่านการสร้างแผนแม่บทที่กำหนดเป้าหมายและดัชนีชี้วัดความสำเร็จซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของ Key Performance Indicator (KPI) หรือ Objective Key Results (OKR); แนวทางสู่การเปลี่ยนแปลง (Transformation strategy): คือการกำหนดขอบเขตงานและวิธีการสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่จำเป็น เช่น หากต้องการติดตามสถานะสินค้าและการจัดส่งอย่างมีประสิทธิภาพอาจเลือกใช้เทคโนโลยี Tagging เพื่อการแสดงผลข้อมูลสินค้าแบบเรียลไทม์บน Dashboard เป็นต้นและ ขีดความสามารถที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลง (Transformation capability): โดยต้องพิจารณาขีดความสามารถที่จำเป็นทั้งในด้านบุคลากร, กระบวนการ, เทคโนโลยี, ข้อมูลและการวิเคราะห์ และนโยบาย
- การเรียงลำดับการดำเนินงาน (Sequence)
เนื่องจากเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Factory นับเป็นภาพใหญ่และเป็นเป้าหมายสูงสุด ดังนั้นควรมีการกำหนดแผนระยะสั้นร่วมกับแผนระยะยาว เพื่อเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ แต่คาดหวังประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมได้ เช่น การเริ่มต้นทดลองเชื่อมต่อข้อมูลห่วงโซ่อุปทานเข้าสู่ศูนย์กลางและการแสดงผลบน dashboard เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการผลิตและจัดส่งได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเมื่อสามารถดำเนินงานตามแผนระยะสั้นได้สำเร็จก็จะสามารถก้าวไปสู่การดำเนิงานส่วนอื่น ๆ ให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามแผนแม่บทได้ไม่ยาก
- การกำหนดโครงสร้างการทำงาน (Structure)
คือการปรับเปลี่ยนทีมงานเพื่อรับผิดชอบนำแผนงานมาพัฒนาให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับ 4 ตำแหน่งงานหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย เจ้าของผลิตภัณฑ์, ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ, ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล โดยจะเห็นได้ว่า Smart Factory ไม่ได้เน้นการลดจำนวนพนักงาเพื่อแทนที่ด้วยเทคโนโลยี ในทางกลับกัน บางองค์กรจำเป็นต้องเพิ่มพนักงานเพื่อให้เกิดความสมดุลและเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เลือกใช้
การเปลี่ยนแปลงสู่ Smart Factory ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนของภาคธุรกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างทัดเทียมนานาประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ เพื่อคอยสนับสนุนให้สามารถเริ่มต้นและดำเนินการได้อย่างถูกต้องในทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ
LiB Consulting ในฐานะที่ปรึกษาของกลุ่มธุรกิจโรงงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย เข้าใจถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่สิ่งที่ทันสมัยกว่า พร้อมนำเสนอแนวทางการดำเนินงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมการผลิตได้ในทุกประเภท เพื่อร่วมสร้างความเติบโตทางธุรกิจในฐานะพันธมิตรชั้นเยี่ยมของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเมืองไทยต่อไป