'บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)' หรือ NEO ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศไทย โชว์ศักยภาพหุ้นอุปโภคตัวแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลื้มนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันตอบรับจองซื้อหุ้น IPO ล้นหลาม พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 9 เม.ย.นี้ เดินหน้าลงทุนเทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าอุปโภค คลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่มีความทันสมัย รองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ก้าวสู่บริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภคและธุรกิจเติบโตยั่งยืน
นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจาก NEO ได้เสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 87.50 ล้านหุ้น ที่ราคา 39.00 บาทต่อหุ้น และเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในระหว่างวันที่ 28 - 29 มี.ค. และ 1 - 2 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้การตอบรับอย่างล้นหลาม สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นถึงศักยภาพในการสร้างการเติบโตในอนาคตของ NEO ซึ่งนับเป็นหุ้นตัวแรกที่ดำเนินธุรกิจสินค้าอุปโภคที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 9 เมษายน 2567 โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ "NEO"
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ" หรือ "NEO") กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงิน เพื่อรองรับแผนการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตสำหรับการขยายกำลังการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัย รวมถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์โดดเด่นเทียบเท่าระดับสากล เพื่อมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค" โดย NEO ได้วางกรอบการลงทุนและขยายธุรกิจตามวิสัยทัศน์และพันธกิจ 4 ปี (2567-2570) อยู่ที่ประมาณ 6,530 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการลงทุนรวม 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก ในระหว่างปี 2567-2570 ภายใต้
งบลงทุน ประมาณ 3,300 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตจำนวน 163,200 ตันต่อปี 2) โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลสำหรับเด็ก ในระหว่างปี 2567-2570 ภายใต้งบลงทุน ประมาณ 2,400 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตจำนวน 18,100 ตันต่อปี และ 3) โครงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และระบบบริหารจัดการคลังสินค้า ภายใต้งบลงทุนประมาณ 830 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อีกจำนวน 18,200 พาเลท ทั้งนี้ โครงการทั้งสามมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับแผนการเติบโตทางธุรกิจและรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีกำลังการผลิตรวม 234,782 ตันต่อปี และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยร้อยละ 81.8 ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด
"การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มฐานทุนของบริษัทฯ ให้มีความแข็งแกร่ง โดยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้มีมูลค่ารวม 3,412.50 ล้านบาท โดย NEO จะนำไปใช้ในการลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง ใช้ชำระคืนเงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ" นายสุทธิเดช กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางยุทธศาสตร์มุ่งนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจสินค้าอุปโภค และความรู้และการวิจัยสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ดีขึ้น และมุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอไปยังกลุ่มสินค้าระดับพรีเมียม ขยายตลาด Silver Market หรือกลุ่มผู้สูงวัยอายุ 55 ปีขึ้นไป ผ่านการสื่อสารทางการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายครบวงจร และตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มที่มีศักยภาพให้ใกล้กับผู้นำตลาด อีกทั้งยังมุ่งสร้างรายได้เติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง (Supply Chain Optimization) ในด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน สนับสนุนกิจกรรมชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (Sustainability Brand) ด้วยยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การตลาดที่วางไว้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของตลาดสินค้าอุปโภคได้ดียิ่งขึ้น และผลักดันให้ NEO ก้าวสู่การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชียที่สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน