กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)
ฟิลิปส์ส่งนวัตกรรมแห่งแสงที่ปรับเปลี่ยนได้ Philips AmbiScene สำหรับธุรกิจค้าปลีก ตอบสนองทุกงานดีไซน์ สร้างสรรค์ประสบการณ์การช้อปปิ้งอย่างไร้ขีดจำกัด
บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างฟิลิปส์ แนะนำคอนเซ็ปต์ใหม่ “Philips AmbiScene” นวัตกรรมแห่งแสงที่ปรับเปลี่ยนได้ (flexible lighting) สามารถสร้างสรรค์บรรยากาศ ประสบการณ์ และแรงบันดาลใจในการช้อปปิ้งได้อย่างน่าประทับใจและไร้ขีดจำกัดให้กับลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก (retail business) ฟิลิปส์คือผู้นำเสนอ total shop lighting solution แบบครบวงจรเพียงรายเดียวในประเทศไทย ตั้งเป้าขึ้นแชมป์ผู้นำอันดับ 1 ในตลาด shop lighting ระดับกลางและพรีเมี่ยมในประเทศไทยภายใน 3 ปี
ฟิลิปส์จัดแสดงคอนเซ็ปต์ “Philips AmbiScene” ในรูปแบบของแอพพลิเคชั่นการใช้งานโดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ โชว์รูมรถยนต์ การใช้ไฟกับโลโก้แบรนด์ ร้านค้าสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านค้าเสื้อผ้าแฟชั่น และร้านค้าเครื่องประดับแฟชั่น ให้กับผู้เข้าร่วมงานสัมมนา Philips AmbiScene จำนวนกว่า 300 คน ซึ่งได้แก่ นักออกแบบแสงสว่าง (lighting designer) นักออกแบบภายใน (interior designer) สถาปนิก ผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ และสื่อมวลชน ในระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2551 ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี
นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ซีอีโอและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “Philips AmbiScene คือการนำเสนอคอนเซ็ปต์ของการดีไซน์แสงสว่างสำหรับร้านค้าและห้างสรรพสินค้าในรูปแบบใหม่ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ (flexible lighting) เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านค้าสามารถสร้างบรรยากาศและประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าดึงดูดและประทับใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านได้ Philips AmbiScene เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแสงซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ให้ความสว่างเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนการดีไซน์แสงสีทั้งภายนอกและภายในร้าน เพื่อให้บรรลุ 4 จุดมุ่งหมายหลัก คือ การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้โดดเด่น (brand identity) การสร้างความแตกต่างและความน่าสนใจให้กับการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ภายในร้าน (product presentation) การแสดงให้เห็นถึงโปรโมชั่นการส่งเสริมการขายภายในร้าน (retail promotion) และการสร้างแรงบันดาลในใจการช้อปปิ้งให้กับลูกค้า (shopper motivation)
ภายใต้คอนเซ็ปต์ AmbiScene ฟิลิปส์นำเสนอ shop lighting solution เพื่อให้เจ้าของกิจการมีระบบแสงสว่างที่มีประสิทธิภาพ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบแสงสว่างให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์ กลุ่มลูกค้า และบรรยากาศการช้อปปิ้ง และที่สำคัญยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่กลุ่มผลิตภัณฑ์ LED หรือ SSL (Solid State Lighting) พร้อมระบบควบคุม เพื่อสร้างแสงให้มีชีวิตและปรับเปลี่ยนสีได้นับล้านเฉดสี และกลุ่มผลิตภัณฑ์หลอด CDM (Ceramic Discharge Metal Halide) หรือ หลอดเมทัลฮาไลท์ที่ให้ค่าความถูกต้องของสีสูง ที่นำเสนอพร้อมกับโคมไฟดาวน์ไลท์ และโคมไฟ
Projector เพื่อการส่องเน้นแสงเฉพาะจุด ดังนั้น Philips AmbiScene จึงสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลายและเหมาะสมกับเทรนด์หรือความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดได้ เพราะการตกแต่งร้านด้วยระบบแสงสว่างแบบเดิม อาทิ หลอดฟลูออเรสเซ็นต์และหลอดฮาโลเจน ยังมีข้อจำกัดในลักษณะการใช้งานจึงอาจจะไม่สามารถสนองตอบความต้องการของผู้ประกอบการได้สูงสุด
หลอดไฟ LED มีคุณสมบัติสามารถสร้างแสงได้ประมาณ 16 ล้านสี สามารถปรับเปลี่ยนและควบคุมให้มีการเคลื่อนไหวได้ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดทั่วไปโดยมีอายุเฉลี่ยยาวนานถึง 50,000 ชั่วโมง (ถ้าเปิดติดต่อกัน 6 ชั่วโมงต่อวันจะสามารถใช้ได้มากกว่า 20 ปี) จึงไม่จำเป็นต้องดูแลและเปลี่ยนหลอดบ่อยๆ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและค่าเปลี่ยนหลอดไฟ นอกจากนี้ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะปราศจากสารปรอทและมีความร้อนน้อย ใช้ไฟแรงดันต่ำจึงมีความปลอดภัยสูง และหลอดไฟ LED ยังมีขนาดเล็กน้ำหนักเบาทำให้ลดข้อจำกัดในการออกแบบและติดตั้ง
สำหรับหลอด CDM เมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติกับหลอดฮาโลเจนซึ่งนิยมใช้ในร้านค้าทั่วไปในปัจจุบันแล้ว หลอด CDM มีประสิทธิภาพดีกว่าหลอดฮาโลเจนกว่า 6 เท่าตัวและอายุการใช้งานยาวนานกว่า 4-5 เท่าตัว เป็นหลอดที่มีความเข้มแสงสูงเมื่อเปรียบเทียบกับหลอดที่มีขนาดเล็ก ทำให้เหมาะสำหรับใช้ในการส่องเน้นเฉพาะจุด หรือในกรณีที่ฝ้าหรือห้องโถงสูงได้ ประหยัดค่าบำรุงรักษา ทั้งในด้านค่าไฟและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เนื่องจาก CDM เป็นหลอดที่ปล่อยความร้อนออกมาน้อยกว่าหลอดฮาโลเจนมาก ทำให้สามารถลดค่าไฟของเครื่องปรับอากาศ และสร้างความรู้สึกสบายในการจับจ่ายใช้สอยของผู้เข้ามาใช้บริการ
นายประกรณ์ กล่าวว่า ฟิลิปส์เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจที่นอกจากจะต้องแข่งขันในการสร้างคุณค่าของสินค้าและบริการให้มีคุณภาพแล้ว ยังต้องการสร้างบรรยากาศในร้านของตนเองให้มีความโดดเด่น น่าสนใจ และแตกต่าง เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านมากขึ้น เป็นการสร้างโอกาสในขายสินค้ามากขึ้น คือเปลี่ยนจากลูกค้าที่เดินดูสินค้า (window shopping) มาเป็น ผู้ซื้อสินค้า (buyer)”
ฟิลิปส์ได้สำรวจและจำแนกประเภทของกลุ่มนักช้อปปิ้งออกเป็น 5 กลุ่ม และได้นำ Philips AmbiScene มาสร้างแรงบันดาลใจของนักช้อปปิ้งในแต่ละกลุ่ม ดังนี้
1.การช้อปปิ้งแบบ Discovery: การช้อปปิ้งเปรียบเสมือนการแสวงหาสิ่งใหม่และประสบการณ์ใหม่ (a journey of discovery and new experiences) อาทิ นักช้อปปิ้งไปห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าเพื่อต้องการสำรวจว่ามีสินค้าหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ดังนั้น Philips AmbiScene จะสามารถช่วยสร้างบรรยากาศในร้านให้ดูตื่นเต้น และมีการปฎิสัมพันธ์ระหว่างนักช็อปปิ้ง ร้านค้า และสินค้าบนชั้นวาง เป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการจับจ่ายมากขึ้น
2.การช้อปปิ้งแบบ Social: การช้อปปิ้งเปรียบเสมือนหนึ่งในกิจกรรมทางสังคมหรือกิจกรรมเพื่อความบันเทิง และเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถแสดงให้เห็นถึงบุคลิกภาพของตนเอง มีความเป็นตัวของตัวเอง และชอบพบปะพูดคุยในวงสังคม อาทิ นักช้อปปิ้งจะนัดกับเพื่อนๆในร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า และเดินซื้อสิ้นค้าภายในห้างนั้นๆ ดังนั้น Philips AmbiScene จะสามารถช่วยสร้างอารมณ์ความรู้สึก และพื้นที่ภายในร้านเพื่อตอบสนองความต้องการการทำกิจกรรมต่างๆ ของลูกค้าภายในร้าน และ Philips AmbiScene จะสามารถเชื่อมโยงความรู้สึกของนักช้อปปิ้งให้เข้ากับบรรยากาศภายร้านได้
3.การช้อปปิ้งแบบ Recognition: นักช้อปปิ้งจะเจาะจงซื้อสินค้าแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น เพื่อเป็นการแสดงให้ผู้คนรับรู้ถึงสถานะทางสังคม อาทิ นักช้อปปิ้งจะซื้อสินค้าที่ทันสมัยและราคาแพง และจะโชว์สินค้านั้นๆให้กับเพื่อนๆ ดังนั้น Philips AmbiScene จะสามารถช่วยสร้างความรู้สึกโดดเด่น สะท้อนถึงความเป็นคนพิเศษของตัวนักช้อปปิ้ง เมื่อเข้ามาใช้บริการภายในร้านได้
4.การช้อปปิ้งแบบ Responsibility: นักช้อปปิ้งจะซื้อสินค้าที่ดีที่สุดให้คนที่รัก เช่น ซื้อให้พ่อ แม่ ลูก หรือคนรัก อาทิ จะซื้ออาหารเพื่อสุขภาพและอร่อย สำหรับอาหารค่ำของครอบครัว ดังนั้น Philips AmbiScene จะสามารถสร้างบรรยากาศภายในร้านให้ดูเป็นมิตรและมีการต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำให้นักช้อปปิ้งรับรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนและควรจะเดินไปในทิศทางใดเพื่อซื้อสินค้า และ Philips AmbiScene สามารถสร้างให้เกิดจุดเด่นภายในร้าน และไฮไลท์บริเวณที่เป็นพื้นที่พักผ่อนทำให้เกิดความรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย
5.การช้อปปิ้งแบบ Necessity: นักช้อปปิ้งจะซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาทิ ซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ต้องการสินค้าราคาประหยัดและซื้อได้รวดเร็ว ดังนั้น Philips AmbiScene สามารถช่วยสร้างบรรยากาศของแสงสว่างชี้ให้นักช้อปปิ้งสามารถซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกสบาย
ฟิลิปส์เปิดตัว Philips AmbiScence ครั้งแรก ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2549 และหลังจากนั้นฟิลิปส์ได้แนะนำแนวคิดนี้ไปในยุโรปและเอเชีย รวมถึง ฮ่องกง สิงคโปร์ และประเทศไทย และยังมีแผนแนะนำแนวคิดเหล่านี้ในอีกหลายประเทศทั่วโลก โดย Philips AmbiScene ได้ติดตั้งไปแล้วในหลายแห่งทั่วโลก อาทิ โชว์รูมรถยนต์ ร้าน Shoebaloo และห้างสรรพสินค้า Bijenkorf ประเทศเนเธอร์แลนด์ ห้างสรรพสินค้า Huzur ประเทศตุรกี ห้างสรรพสินค้า Balenciaga ประเทศฝรั่งเศส และร้าน El Corte Ingles ประเทศสเปน
นายประกรณ์ กล่าวว่า “"ก่อนหน้านี้ นักออกแบบและเจ้าของธุรกิจ ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการออกแบบระบบแสงสว่างให้กับร้านค้ามากนัก แต่การจัดแสดง Philips AmbiScene ในครั้งนี้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักออกแบบและเจ้าของกิจการ เล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของแสงที่จะเข้ามามีส่วนในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจให้เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร โดยกลุ่มลูกค้าที่ฟิลิปส์จะเข้าไปนำเสนอคอนเซ็ปต์นี้คือ กลุ่มลูกค้าในระดับกลางและพรีเมี่ยมที่เป็นแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างชาติ ”
“ฟิลิปส์มั่นใจว่า ภายใต้คอนเซ็ปต์ Philips AmbiScene ที่นำเสนอ shop lighting solution แบบครบวงจร ที่สามารถนำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีสูง พร้อมไปกับการบริการด้านออกแบบแสงด้วยทีม lighting consultant ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจค้าปลีก ประกอบกับความต้องการของผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับการตกแต่งร้านค้าด้วยระบบแสงสว่างที่แตกต่าง จะทำให้ฟิลิปส์ประสบความสำเร็จ จนสามารถครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด shop lighting ระดับกลางและพรีเมี่ยมในประเทศไทยภายใน 3 ปีได้ “
Ms. Naranart Phuangkanok
Sr. Public Relations Officer
Philips Electronics (Thailand) Ltd.,
1768 26-28th floor, Thai Summit Tower
New Phetburi Road, Kwang Bangkapi, Khet Huaykwang,
Bangkok 10320, Thailand
Tel: (662) 614 3333 ext 3486
Fax: (662) 614 3488
e-mail: naranart.phuangkanok@philips.com