ธนาคารทิสโก้ชี้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้น เป็นจังหวะเหมาะลงทุนกองทุนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ รับโอกาสราคาหุ้นปรับขึ้น (Upside) 13.9% มากกว่าหุ้นโลกที่มีโอกาสปรับขึ้น 11.8% แรงหนุนจากกำไรโดยรวมที่คาดว่าออกมาดีเพราะมีหุ้นกลุ่มไบโอเทคเป็นกำลังหลัก หลังองค์การอาหารและยา (FDA) อนุมัติยาใหม่มากขึ้น และเห็นการควบรวมกิจการเพิ่ม พร้อมแนะควรเลือกกองทุนเชิงรุกที่ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเฮลธ์แคร์
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) มักจะสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ชี้วัดจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและภาคบริการของโลก ยืนเหนือ 50 จุดต่อเนื่อง สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ปรับเพิ่มประมาณเศรษฐกิจโลกปี 2567 เป็น 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 3.1% ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าซื้อกองทุนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไบโอเทคซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสร้างกำไรอย่างโดดเด่นเพราะองค์กรอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติยาใหม่เพิ่มขึ้นและเริ่มเห็นการควบรวมกิจการ (M&A) มากขึ้น ทั้งสองปัจจัยจะเป็นแรงหนุนราคาหุ้นกลุ่มไบโอเทคและยังส่งผลต่อเนื่องไปยังราคาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ให้มีโอกาสปรับขึ้น (Upside) ดีกว่าตลาดหุ้นโลก
"ธนาคารทิสโก้มองว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ซึ่งเป็นหุ้นเมกะเทรนด์ของโลกมีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เพราะข้อมูลในอดีตพบว่าหุ้นกลุ่มนี้มักจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว นอกจากนี้ จากการรวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์โดยบลูมเบิร์กพบว่า หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น (Upside) 13.9% มากกว่าหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) ที่มี Upside 11.8% นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Facset ณ วันที่ 15 มีนาคม 2567 ยังคาดการณ์ว่าใน 12 เดือนข้างหน้าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์จะมีกำไรเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน แรงหนุนหลักมาจากหุ้นกลุ่มไบโอเทคที่เป็น Sub-sector ที่กำไรมีโอกาสเติบโตสูง โดยบลูมเบิร์กคาดว่ากำไรหุ้นกลุ่มไบโอเทคมีโอกาสโตประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนเพราะนวัตกรรมยาใหม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA และเห็นการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้น" นายณัฐกฤติกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน FDA อนุมัติยาใหม่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี จากหลายปัจจัยทั้งสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลง กระบวนการวิจัยและพัฒนายาที่รวดเร็วขึ้น ตลอดจนการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยคิดค้นนวัตกรรมยารักษาโรคใหม่ๆ โดยใน 2566 ที่ผ่านมามีการอนุมัติยาตัวใหม่จาก FDA มากถึง 55 รายการ และ 1 ใน 3 ของจำนวนยาที่ได้รับการอนุมัติเป็นยากลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการผลิต ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของบริษัทในกลุ่มไบโอเทคให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขณะที่การควบรวมกิจการนั้น Bloomberg Intelligence รายงานว่า กิจกรรมควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ กำลังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 141 ดีล นับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 4 ปีเพราะบริษัทยาขนาดใหญ่เร่งหาการเติบโตใหม่ จุดที่น่าสนใจคือบริษัทยายักษ์ใหญ่มักจะเสนอซื้อกิจการไบโอเทคในราคาที่แพงกว่าราคาตลาด (Premium) มาก เช่น 50% - 100% ทำให้เมื่อมีการประกาศดีลควบรวมกิจการขึ้น ราคาหุ้นไบโอเทคที่ถูกเข้าซื้อกิจการมักมีราคาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ใกล้เคียงกับส่วนต่างราคา (Premium) ที่มีการตกลงซื้อขายกัน
นายณัฐกฤติกล่าวว่า ในด้านราคาของหุ้นกลุ่มไบโอเทคถือว่ายังอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา จากผล กระทบจากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq Biotechnology ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 2564 กว่า 24% มีการซื้อขายในระดับราคา Discount จากดัชนีหุ้นโลกราว 8% แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายแล้ว จะทำให้มีโอกาสให้ราคาหุ้นกลุ่มไบโอเทคกลับมาซื้อขายในราคา Premium เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก ขณะเดียวกันมูลค่าหุ้น (Valuation) ในหลายอุตสาหกรรม (Sector) ที่ตึงตัวอย่างเช่นกลุ่มเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการสับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมมายังกลุ่มไบโอเทคมากขึ้นได้
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มไบโอเทค และกองทุนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุก และมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะต้องอาศัยความรู้ทางด้านการแพทย์ในระดับสูงในการทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์และอนาคตของแต่ละบริษัท ประกอบกับ ต้องใช้ความรู้ทางด้านการเงินในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและประเมินมูลค่าหุ้น