ตั้งเป้ารายได้ที่เติบโตขึ้นจากการขยายช่องทางการขายใหม่ทั้งในประเทศและขยายฐานลูกค้าส่งออก รวมทั้งเพิ่มผลิตภัณฑ์ปรุงสุกใหม่ๆ
บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) "BR Group" ผู้นำธุรกิจเนื้อเป็ด เผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2567 ยังคงสดใส โดยมีรายได้ 1,944 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ทั้งปี หลังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่อเนื่องและเพิ่มช่องทางการขายใหม่
นายโจเซฟ สุเชาว์วณิช ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือ BR Group เปิดเผยถึงผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2567 ระบุว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 1,944 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 2,090 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท ลดลง 20 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 18% เป็น 21% กลุ่มบริษัทฯ ยังคงมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าตลาดเนื้อสัตว์ได้รับผลกระทบจากปัญหาหมูเถื่อน ที่ทำให้ราคาเนื้อสัตว์หลัก คือ เนื้อไก่รวมทั้งเนื้อเป็ดมีความผันผวนสูง ในขณะที่เศรษฐกิจการค้าโลกจะไม่ค่อยขยายตัวมากนักโดยมีผลกระทบจากสภาวะสงครามในยุโรป และตะวันออกกลาง ฝ่ายบริหารมีกลยุทธ์การดำเนินงานที่ระมัดระวัง และ เตรียมพร้อมรับมือต่อสภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง
"ปีนี้ บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายรายได้ที่เติบโตขึ้น เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น การออกผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ และการฟื้นตัวของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้กลุ่มบริษัทฯ บรรลุเป้าหมายก้าวขึ้นสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ ผลิตภัณฑ์เป็ดระดับโลก โดย BR Group มี EBITDA หรือ กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ยังคงเติบโตในเชิงบวกในปีนี้ เนื่องจากกลยุทธ์การขาย การส่งออก ที่ประสบความสำเร็จและมีการควบคุมภายในที่แข็งแกร่งขึ้น สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการดำเนินงานในอนาคต คือ อัตราดอกเบี้ยธนาคาร อัตราเงินเฟ้อ และต้นทุนพลังงานที่สูงยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท ในทางกลับกัน ถึงแม้มาตรการส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ถูกยกเลิกไปทั่วโลกแล้วนั้น กลุ่มบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อไปในการควบคุมการแพร่กระจายของโรคที่อันตราย"