'บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN' ปลื้มผลประกอบการไตรมาส 1/2567 ไปได้สวย โดยเฉพาะกำไรพุ่งทะยานถึง 386% ทำได้ 246 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 51 ล้านบาท ขณะที่รายได้อยู่ที่ 2,608 ล้านบาท โต 14.8% แรงหนุนสำคัญมาจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ออเดอร์กลับมาส่งออกได้สูงขึ้นทั้งตลาดสหรัฐ และสหราชอาณาจักร หลังสถานการณ์สินค้าคงเหลือเริ่มมีสัญญาณกลับสู่ระดับปกติ แถมธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากหมึกแช่เยือกแข็ง และสินค้าเพิ่มมูลค่า ไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ ทำอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 17.5% และอัตรากำไรสุทธิ 9.4%
นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยถึงผลประกอบการ ไตรมาส 1/2567 ว่า บริษัทมีรายได้ 2,608 ล้านบาท เติบโต 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 2,272 ล้านบาท และเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า 7.1% ที่ทำได้ 2,435 ล้านบาท มาจาก 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร และธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งที่เพิ่มขึ้นจากการส่งออกหมึกแช่เยือกแข่งไปยังยุโรปและผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า (VAP) ไปสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น
สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 386% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำผลงานได้เพียง 51 ล้านบาท และเติบโต 203% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 81 ล้านบาท เช่นเดียวกับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิก็ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่ 9.2% ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9.4% และมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.30 บาท/หุ้น เพิ่มจากไตรมาส 1/2566 ที่ 0.06 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ดี การส่งออกในไตรมาส 1/2567 มีการเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 5% หลังจากสถานการณ์สินค้าคงเหลือเริ่มกลับมาสู่ระดับปกติและมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหลักจากประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรที่สร้างรายได้ 1,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 1,045 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการขายอยู่ที่ 8,169 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 7,367 ตัน ทั้งนี้ กำลังการผลิตในกลุ่มสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56,000 ตัน ตั้งแต่ต้นปีจะช่วยให้บริษัทยังสามารถรองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งที่ไตรมาส 1/2567 ก็มีปริมาณการขายและรายได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้อยู่ที่ 895 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากปริมาณการขาย 2,709 ตัน เพิ่มขึ้น 44% โดยส่วนใหญ่มาจากการขายหมึกแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า (VAP) ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การเติบโตต่อของยอดขายในกลุ่มนี้ ยังคงต้องดูผลกระทบที่อาจเกิดจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการเลี้ยงกุ้งและการจับหมึก รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทางยุโรปและการแข่งขันของประเทศในเรื่องมาตรฐาน ASC ที่จะมีผลบังคับใช้ โดยบริษัทจะเน้นกลยุทธ์การทำตลาดในธุรกิจที่ได้อัตรากำไรขั้นต้นที่ดี พร้อมกับการรักษาระดับสินค้าคงเหลือ ทั้งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตลอดจนลดต้นทุนการผลิตโดยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซล่าร์ ซึ่งปัจจุบันใช้ประมาณ 20% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด
สำหรับธุรกิจทูน่า รายได้และปริมาณการขายปรับลดลง โดยไตรมาส 1/2567 มีรายได้ 208 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 41% ส่วนปริมาณการขายอยู่ที่ 1,260 ตัน แม้ว่าราคาทูน่าจะมีการปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว แต่ด้วยคำสั่งซื้อของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการเพื่อให้ประโยชน์มากที่สุดทำให้ชะลอการรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าตลาดหลักจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำมีรายได้ 238 ล้านบาท จากปริมาณการขายอยู่ที่ 5,998 ตัน ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยที่มีการขายอาหารกุ้งเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายอาหารปลาลดลงเพราะบริษัทชะลอการผลิตตั้งแต่ไตรมาสที่แล้ว และเริ่มกลับมาทำการตลาดใหม่ราวต้นปี 2567 โดยมีการปรับปรุงคุณภาพและสูตร อีกทั้งปัจจุบันราคาต่อกิโลกรัมของวัตถุดิบหลักอย่างแป้งสาลี กากถั่วเหลือง และปลาป่น มีการปรับลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ประกอบกับที่ปีนี้บริษัทมีมาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดและวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสม ทำให้โดยรวมธุรกิจอาหารสัตว์น้ำยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/2567 สัดส่วนรายได้แยกเป็นประเภทธุรกิจ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงมีสัดส่วนมากที่สุด 49% รองลงมาคือธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งที่ 34% ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 9% และธุรกิจทูน่า 8%
นายเอกกมล กล่าวต่อว่า ปี 2567 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เดิมที่ 11,300 ล้านบาท หรือเติบโต 17.9 % จากปีก่อนที่ทำได้ 9,581 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 5,400 ล้านบาท ธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง 3,200 ล้านบาท ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 1,600 ล้านบาท และธุรกิจทูน่า 1,100 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าอยู่ที่ 14-15% ซึ่งปรับเพิ่มจากเดิมที่คาด 12-13% นอกจากนั้น แผนการลงทุนปี 2567 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยงบลงทุนทั้งหมด 535 ล้านบาท จะนำไปใช้สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 431 ล้านบาท ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 64 ล้านบาท และธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง 40 ล้านบาท