กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
ทียูเอฟ ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2551 โชว์ผลงานเยี่ยม ตัวเลขยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น แม้ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ แต่ด้วยนโยบายการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำไรสุทธิพุ่งขึ้น 10% ยอดขายรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่ม 32% และยอดขายรูปเงินบาทก็โตขึ้น 20% พร้อมปรับเป้าใหม่ มั่นใจปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ประจำปี 2551 ว่า “บริษัทสามารถสร้างอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งกำไรสุทธิ และรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาท นับเป็นผลงานที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเท่ากับ 578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 527.7 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 0.60 บาทในปีก่อน มาอยู่ที่ 0.66 บาทในปี 2551 และมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 478.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2550 ที่เท่ากับ 361.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้จากการขายในรูปเงินบาทก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมียอดขายเท่ากับ 15,415.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2550 ที่เท่ากับ 12,801.5 ล้านบาท สำหรับรายได้รวมในไตรมาสแรกนี้ ก็เพิ่มขึ้นจาก 13,027.6 ล้านบาทในปี 2550 มาอยู่ที่ 15,987.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% ในปี 2551
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกนี้ ประเด็นในเรื่องของค่าเงินบาท ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และราคาวัตถุดิบทุกอย่างที่ปรับตัวขึ้นยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง แต่ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานที่บริษัทพยายามปรับอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม การควบคุมโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ การขยายฐานการตลาดให้กว้าง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด การควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลงานที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาท แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นถึง 9% เมื่อ
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสนี้ยอดขายผลิตภัณฑ์เติบโตขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ในรูปของเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า กุ้ง อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง และอาหารแมวบรรจุกระป๋องที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ทำให้ยอดขายของเราโตขึ้น 32% ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในสหรัฐอเมริกามีอัตราการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ปริมาณการขายโดยรวมของไตรมาสนี้ก็เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ดีบริษัทมั่นใจว่า ยอดขายของเรายังสามารถเติบโตได้ แม้ว่าสถานการณ์จะลำบาก เพราะบริษัทยังมีโอกาสที่จะขยายตลาดเพิ่ม เพื่อให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้น”
ทั้งนี้นายธีรพงศ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1 จะเห็นว่าบริษัทยังมีศักยภาพและมีความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรามั่นใจว่าปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับประมาณการตัวเลขใหม่จากเดิมที่ตั้งไว้ 12%”
“และจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศยกเลิกมาตรการกันเงินสำรอง 30% แล้ว ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างรุนแรงในระยะสั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกอย่างมาก แต่สำหรับบริษัทแล้ว ด้วยนโยบายบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อรองรับกับค่าเงินบาทที่บริษัทมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำให้บริษัทยังสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง”
นายธีรพงศ์ กล่าวย้ำ
สำหรับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสแรกนี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ามีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทคือ 50% รองลงมาได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 19% ตามด้วยอาหารแมวบรรจุกระป๋อง และอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 8% อาหารกุ้ง 5% ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง 4% ขายในประเทศ 4% และ ปลาหมึกแช่แข็ง 2% โดยมีตลาดส่งออกอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เอเชีย อัฟริกา ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แคนาดา และลาตินอเมริกา แต่ตลาดที่มีการขยายตัวสูงสำหรับไตรมาสนี้ได้แก่ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อัฟริกา และลาตินอเมริกา
นอกจากนี้ นายธีรพงศ์ ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้า “กรณีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกาประกาศอัตราเบื้องต้นของภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5.95% เป็น 15.30% ว่า “บริษัทได้มีการติดตามในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ร่วมกับที่ปรึกษาทางด้านกฏหมาย และสถานทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี
เพื่อให้มีการทบทวนอัตราภาษีใหม่ รวมทั้งได้มีการติดต่อพูดคุยโดยตรงกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ถึงเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากการดำเนินงานตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ความคืบหน้าเป็นไปในแนวทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทางบริษัทได้รับจดหมายยืนยันจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาแจ้งว่า จะดำเนินการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ และพร้อมที่จะพิจารณาอีกครั้งอย่างละเอียด นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับบริษัท ทำให้บริษัทมั่นใจว่า ผลการทบทวนอัตราภาษีใหม่จะประกาศออกมาอีกครั้งในเดือนกันยายน 2551 จะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ข้อมูลเพิ่มเติม: แผนกสื่อสารองค์กร
บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
โทรศัพท์ 02-2980024 ต่อ 675-678
อีเมล์ tufinbox@thaiunion.co.th