แซส ปลื้มยอดขายเติบโตสูงสุดในตลาดบีไอ กวาดรายได้รวมทั่วโลก 2.15 พันล้านดอลลาร์ แอพพลิเคชั่นธุรกิจอัจฉริยะ ผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 15%

ข่าวเทคโนโลยี Monday May 12, 2008 15:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--คอร์ แอนด์ พีค
บริษัท แซส ผู้นำด้านบีไอ ระบบวิเคราะห์เชิงลึก และคลังข้อมูล มีรายได้เติบโตมากขึ้นเป็นปีที่ 31 โดยบริษัท แซส มีรายได้รวมในปี 2550 อยู่ที่ 2.15 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2549 ที่ผ่านมา
“ในภาวะที่ข้อมูลทั้งแบบมีระเบียบและไร้ระเบียบมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกๆ วันในองค์กร นับว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างมาก สำหรับบริษัท แซส” นายจิม กูดไนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) กล่าว
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จะคาดการณ์การเติบโตของตลาดบีไอในอนาคตว่าจะชะลอตัวลง แต่แอพพลิเคชั่นบีไอได้สร้างรายได้ให้กับบริษัท แซส ในปี 2550 ได้มากถึง 29% ของรายได้ทั้งหมด “เราไม่เห็นแนวโน้มขาลงดังกล่าว” กูดไนท์ ตั้งข้อสังเกต และว่า “แม้จะมีการควบรวมหรือซื้อกิจการในกลุ่มตลาดบีไอ ณ ปัจจุบันนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว บ่งบอกถึงความสนใจในตลาดบีไอของผู้ซื้อรายใหญ่เพราะความต้องการในการใช้บีไอในองค์กรที่เพิ่มขึ้น แต่กระนั้น แซสก็ยังมีศักยภาพในการให้โซลูชั่นที่เป็นได้มากกว่าบีไอ เนื่องจาก บริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่องค์กรต้องการอย่างครอบคลุมแบบ end-to-end ตั้งแต่ แพลตฟอร์มอัจฉริยะ, การวิเคราะห์เชิงลึก และโซลูชั่นเฉพาะสําหรับแต่ละฝ่ายในองค์กร ไม่ว่าการเงิน ความเสี่ยง ลูกค้า และซัพพลาย และแต่ละธุรกิจ ทำให้บริษัทฯ แตกต่างจากผู้ให้บริการบีไอรายอื่นๆ ที่มีความชำนาญในแอพลิเคชันด้านการเรียกดูข้อมูลและจัดทำรายงานเท่านั้น”
นักวิเคราะห์ยืนยันทิศทางการดำเนินงานของแซสถูกต้อง
จากรายงานล่าสุดของนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ยืนยันทิศทางยุทธศาสตร์การดำเนินของบริษัท แซส ว่าถูกต้อง โดยบริษัท การ์ทเนอร์ อิงค์.ได้จัดอันดับบริษัท แซส อยู่ในกลุ่มผู้นำด้านธุรกิจอัจฉริยะ หรือที่เรียกว่า “Magic Quadrant for Business Intelligence Platforms, 2008
ขณะที่รายงานจาก "The Forrester Wave... Business Performance Solutions, Q4 2007" นายพอล ดี ฮาเมอร์แมน รองประธานและนักวิเคราะห์ด้านหลักการของบริษัท ฟอร์เรสเตอร์ ระบุว่า โซลูชั่นที่เสริมประสิทธิภาพธุรกิจของบริษัท แซสนั้น “ได้ถูกรวมไว้ในแพลตฟอร์มธุรกิจอัจฉริยะที่ดีเยี่ยมของบริษัท” และเขายังตั้งข้อสังเกตว่า โซลูชั่นของบริษัท แซสตอบโจทย์การบริหารผลการปฏิบัติงานองค์กรได้อย่างแท้จริง เพราะมี “การวิเคราะห์เชิงลึก และคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ, การบริหารต้นทุนและผลกำไร ตลอดจนเป็นโซลูชั่นสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ”
ยอดขายแข็งแกร่งครอบคลุมในทุกธุรกิจเฉพาะแต่ละฝ่ายสําหรับองค์กร
ทั้งนี้ บริษัท แซส ยังคงมียอดขายโซลูชั่นเฉพาะฝ่ายสําหรับองค์กรเพิ่มมากขึ้น โดยโซลูชั่นระบบบริหารวิเคราะห์ลูกค้าอัจฉริยะมียอดขายเพิ่มขึ้น 50% นอกจากนี้ ยอดขายของโซลูชั่นสำหรับแต่ละธุรกิจยังเพิ่มขึ้น 28% อาทิ โซลูชั่นสําหรับสถาบันการเงิน เพื่อตรวจจับพฤติกรรมฉ้อฉล (Fraud), โซลูชั่นสำหรับผู้ค้าปลีกที่ช่วยให้สามารถจัดหาสต็อคสินค้ามาเก็บไว้ได้อย่างเหมาะสม และอื่นๆ โดยสถาบันการเงินทั่วโลกกว่า 200 แห่งในขณะนี้ ใช้ SAS? for Enterprise Risk Management เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับ ไปจนถึงการริเริ่มทางนวัตกรรม และการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ยอดขายจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพุ่งสูงขึ้น
“ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนับเป็นภูมิภาคที่บริษัท แซส ดำเนินงานได้ยอดเยี่ยมที่สุด” นายไมเคิล แฮกสตรอม รองประธานฝ่ายบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ในช่วงห้าปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า โดยส่วนแบ่งรายได้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัท แซส เติบโตกว่า 25% ในช่วงเวลาดังกล่าว กำไรเพิ่มขึ้นกว่า 200% ซึ่งนั่นทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงอัตราการเติบโตที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตได้” นอกจากนี้ บริษัท แซส ยังคงเดินหน้าขยายฐานเข้าสู่ภูมิภาคแห่งนี้ด้วยการจัดตั้งสำนักงานใหม่ในอินโดนีเซีย และมีแผนที่จะขยายไปยังเวียดนามอีกด้วย นอกเหนือจากที่เปิดดำเนินการใหม่แล้ว แซสมีสาขาในจีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, ไทย, ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์, เกาหลี, ไต้หวัน, มาเลเซีย, สิงคโปร์, และฟิลิปปินส์ รวมทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาหลักอีกสองแห่งในจีนและอินเดียด้วย
ฐานลูกค้าเพิ่ม; ลูกค้าที่มีอยู่ใช้โซลูชั่นของแซสเพื่อต่อยอดมากขึ้น
บริษัท แซส ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถทำรายได้ทั่วโลกถึง 11% โดยมีลูกค้าใหม่ 322 รายในปี 2550 และลูกค้าบางรายอยู่ในกลุ่ม 25 อันดับแรกของยอดขายสูงสุดที่บริษัททำได้ทั่วโลก โดยมูลค่ายอดขายกว่าครึ่งล้านดอลลาร์ มีอัตราการเติบโตสูงถึง 130% นับตั้งแต่ปี 2549 การเติบโตที่เกิดจากการลงทุนในด้านบีไอของบริษัท แซส แสดงให้เห็นว่าโซลูชั่นสำหรับธุรกิจของบริษัทยังคงได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริหารในองค์กรชั้นนำต่างๆ ได้ จะเห็นได้ว่า ในปี 2550 บริษัท แซส มีลูกค้าใหม่กว่า 1,100 รายจากทั่วโลก และลูกค้าที่มีอยู่เดิมก็ใช้โซลูชั่นใหม่กับแซสมากขึ้น สำหรับลูกค้ารายใหม่ที่หันมาใช้แซส ได้แก่ Commonwealth Bank of Australia, Credit Agricole, HSBC, ICBC China, National Geographic Society, Sanofi Aventis, Arcor AG & Co. KG, Danone, Danske Bank, Dresdner Bank, Korea Power Exchange, Parkson Malaysia, Arbejdsmarkedsstyrelsen, Equifax Do Brasil LTDA, Grundfos, Haven Holidays, National Health Service, Sephora USA Inc., Teleflora, Vejle Kommune และ Vestas
พันธมิตรเพิ่มผลประกอบการ
เครือข่ายพันธมิตรและช่องทางจำหน่ายที่กำลังเติบโตของบริษัท แซส มีส่วนสำคัญต่อรายได้ของบริษัท คิดเป็น 17% ของยอดขาย โดยข้อตกลงด้านยุทธศาตร์ที่เกิดขึ้นใน 2550 ได้แก่
- โซลูชั่นของแซสได้รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ด้านคลังข้อมูลองค์กรของบริษัท เทราดาต้า คอร์ปอเรชั่น (ชื่อในตลาดหุ้นนิวยอร์ก: TDC) ทําให้เป็นการเพิ่มศักยภาพ และความเร็วในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยทั้งสองบริษัทร่วมกันทำตลาด ด้านการขาย และให้บริการโซลูชั่นดังกล่าวร่วมกัน
- ขยายขีดความสามารถด้วยการสร้างพันธมิตรร่วมมือกันกับบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจชั้นนําอย่างบริษัท แอคเซนเจอร์
โครงการตัวแทนจำหน่ายที่เปิดตัวในปี 2549 ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายโซลูชั่นของบริษัทไปได้ทั่วโลกในปี 2550 และส่งผลให้ยอดขายซอฟต์แวร์ของบริษัท แซส เติบโตเพิ่มขึ้นด้วย
เครือข่ายพันธมิตรและช่องทางจำหน่ายของบริษัท แซส ที่เติบโตเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีส่วนสำคัญต่อผลประกอบการกว่า 20% ที่บริษัทได้รับ โดยธุรกิจร่วมทุนใหม่ที่เกิดขึ้นมีกลุ่มเป้าหมายเป็นตลาดธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่ดำเนินการผ่านช่องทางจำหน่าย และคาดว่าความร่วมมือในลักษณะดังกล่าว แม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่จะมีผลต่อการเพิ่มรายได้ของบริษัทในปีต่อๆ ไป
ด้านนายขวัญชัย เลิศจุลัศจรรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัท แซส ในประเทศไทย ปี 2550 เติบโตขึ้น 70 % ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นกลุ่มธนาคาร และบริษัทโทรคมนาคม ทั้งนี้คาดว่าปีนี้จะเติบโต ไม่ตํ่ากว่า 50 %
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท แซสในปีนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ขยายบุคคลกร ภายในบริษัท จาก 20 เป็น 60 คน 2. เพิ่มพันธมิตรธุรกิจให้มากขึ้น จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 20 ราย ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษา (consultant) และเป็นบริษัทที่รวบรวมและติดตั้งระบบ (Implementer/ SI - System Integration) ซึ่งจะช่วยให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งกลุ่มธุรกิจเอกชน, โรงพยาบาล, โรงแรม, อุตสาหกรรม และหน่วยงานราชการ
พร้อมกันนี้ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งเหมาะกับกลุ่มลูกค้าประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. กลุ่มลูกค้าสถาบันการเงิน มีผลิตภัณฑ์โซลูชั่นใหม่ๆ เช่น ชุดซอฟต์แวร์สวีท (software suite) สําหรับ Multiple Compliance ทั้ง Advanced Basel II, Fraud, AML, Risk Management, โดยเฉพาะ CI (Customer Intelligence) ซึ่งเรามีลูกค้าหลายราย และมีโซลูชั่นใหม่ อาทิ โซลูชั่นการทําการตลาด ณ จุดพฤติกรรมของลูกค้าขณะนั้น (Event-Based Marketing — EBM), โซลูชั่นการบริหารการตลาดแบบครบวงจร (Marketing Automation) ,ระบบหาจุดคุ้มทุนที่สุดในการออกแคมเปญ (Marketing Optimization), ระบบวิเคราะห์และตอบสนองลูกค้าแบบเรียลไทม์ (Real Time Decision Manager) เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด 5.1 ทําให้ขยายฐานธุรกิจได้มากขึ้น
2. กลุ่ม Commercial มีโซลูชั่นที่ช่วยในการวัดผลปฏิบัติงานองค์กร โดยมีกลยุทธ์การบริหารการวัดผลงานปฏิบัติงานองค์กร (Strategic Performance Management - SPM) ซึ่งเป็นโซลูชั่นรวมเวอร์ชั่นล่าสุด 2.4 ที่ช่วยให้องค์กรสามารถทํา war room หรือ cockpit ที่ทันสมัย ซึ่งเมืองไทยเพิ่งมีการนําเวอร์ชั่นล่าสุดนี้มาใช้
3. กลุ่มราชการ มีโซลูชั่นในการบริหาร และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์องค์กร โดยเฉพาะ Enterprise Intelligence Platform (EIP) เวอร์ชั่นล่าสุด 9.1.3 ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มโซลูชันที่ครบวงจร (end-to-end solution)
นอกจากนี้บริษัท แซสยังร่วมมือกับพันธมิตรในการเปิดศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence - COE) โดยเฉพาะด้าน CI ที่สนับสนุนด้านการจัดอบรม และการแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งในประเทศ และแถบเอเชียตะวันออกเฉียบใต้ โดยที่เราสร้างผู้นำที่เชี่ยวชาญ (practice leader), ซอฟต์แวร์ และ บุคคลากรที่จะรองรับ พร้อมทั้งมีการทำภาษาไทยเพื่อช่วยให้การติดตั้งระบบรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนบริการด้านการให้คำปรึกษา บริษัท แซสมีรายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้ 100% ซึ่งมาจากการติดตั้งระบบ และร่วมกับพันธมิตรในโครงการต่างๆ
ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของบริษัท แซสมีเพิ่มมากขึ้น อาทิเช่น บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ดส์, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ), บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. จำกัด (มหาชน), กระทรวงพลังงาน, โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้ บริษัทฯ มั่นใจว่า ในปีนี้แซสจะมีผลการเติบโตไม่ตํ่ากว่า 50%
ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน แม้จะอยู่ในภาวะที่หลายคนมีความเห็นว่าไม่ดีนัก แต่โซลูชั่นของแซสสามารถเข้าไปช่วยในธุรกิจต่างๆในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มโทรคมนาคม สามารถลดค่าใช้จ่ายในการทําแคมเปญ หรือการแจ้งเตือนลูกค้าเรื่องโปรโมชั่นพิเศษ ณ จุดช่องทางในการติดต่อลูกค้าได้โดยตรง (Event-Based Marketing) หรือการทําแคมเปญเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะบุคคล เพื่อให้โดนใจกลุ่ม เป้าหมายมากขึ้น
ดังนั้น บริษัท แซส จึงช่วยธุรกิจได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในด้านการตลาด และการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แซสยังได้รับรางวัลบริษัทชั้นนําที่คนอยากทํางานด้วย
นอกจากนับว่าเป็นปีที่ 11 ติดต่อกันแล้วที่บริษัท แซสได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในร้อยบริษัทที่ดีที่สุดที่น่าร่วมงานด้วยในปี 2551 ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูน โดยบริษัท แซส ในจีน ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน “บริษัทจ้างงานชั้นนำประจำปี 2551 ในมหานครเซี่ยงไฮ้ของจีน”
พนักงานของบริษัท แซส ได้รับการส่งเสริมให้สร้างความแตกต่างให้กับโลกที่เราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยทีมกีฬ่าให้สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การแข่งขันได้ ณ เวลาจริง โดยใช้ระบบของแซส หรือช่วยให้ศัลยแพทย์เพื่อการคาดการณ์และช่วยให้การผ่าตัดผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และแซสยังช่วยนักวิจัยจัดการสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เกษตรกรผู้ปลูกฝ้ายสามารถใช้แซสระบุสายพันธ์พืชที่จะสร้างผลผลิตได้ดีที่สุด ตลอดจนยักษ์ใหญ่ ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าสามารถใช้แซสเพื่อร่นระยะเวลาในการสร้างเรือขนส่งจากปีเป็นเดือนได้
เกี่ยวกับแมจิก ควอแดรนท์
แมจิก ควอแดรนท์ (Magic Quadrant) ได้รับการจดลิขสิทธิ์ในปี พ.ศ. 2550 โดยบริษัท การ์ทเนอร์ อิงค์. และถ้านำไปใช้ซ้ำจะต้องได้รับการอนุญาต โดยแมจิก ควอแดรนท์เป็นการแสดงสภาพตลาดในช่วงเวลาหนึ่งในรูปแบบของกราฟิก ซึ่งอ้างอิงข้อมูลการวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ในเรื่องที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของผู้ผลิต เมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่การ์ทเนอร์ได้กำหนดไว้สำหรับตลาดนั้นๆ ทั้งนี้ การ์ทเนอร์ไม่ได้ให้การรับรองผู้ผลิต สินค้า หรือบริการใดๆ ที่กล่าวถึงในแมจิก ควอแดรนท์ และไม่ได้แนะนำให้ผู้ใช้เลือกใช้เทคโนโลยีของผู้ผลิตที่จัดอยู่ในกลุ่ม “ผู้นำ” (Leaders) เท่านั้น แมจิก ควอแดรนท์มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการวิจัยเท่านั้น และไม่ได้ใช้เป็นแนวทางสำหรับการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะ การ์ทเนอร์ขอปฏิเสธการรับประกันใดๆ ทั้งโดยชัดแจ้งและโดยนัย ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยนี้ รวมถึงการรับประกันเกี่ยวกับความสามารถในการจัดจำหน่าย หรือความเหมาะสมสำหรับจุดประสงค์เฉพาะ
เกี่ยวกับบริษัท แซส
บริษัท แซส เป็นหนึ่งในผู้นำซอฟต์แวร์และบริการระบบธุรกิจอัจฉริยะ โดยมีลูกค้ามากถึง 40,000 แห่ง ใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัท แซส เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจทางธุรกิจที่รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ทำกำไรได้มากขึ้นด้วยลูกค้าและซัพพลายเออร์ เป็นไปตามกฎระเบียบของภาครัฐ การวิจัยขั้นสูง และผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า มีเพียงบริษัท แซส เท่านั้นที่ให้การบูรณาการด้านข้อมูล สตอเรจ การวิเคราะห์ชั้นสูง และแอพพลิเคชั่นระบบธุรกิจอัจฉริยะภายใต้แพลตฟอร์มอัจฉริยะขององค์กรที่ครอบคลุม โดยนับตั้งแต่ปี 2519 บริษัท แซส ได้มอบแนวคิดการสร้างสรรค์อํานาจแห่งการรอบรู้ หรือ The Power to Know? ให้กับลูกค้าทั่วโลก
www.sas.com
ชื่อผลิตภัณฑ์หรือบริการของ SAS และ SAS Institute Inc. เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน หรือเครื่องหมายการค้าของ SAS Institute Inc. ในสหรัฐและประเทศอื่นๆ จะระบุว่าเป็นการจดทะเบียนในสหรัฐ ส่วนชื่อยี่ห้อและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ ลิขสิทธิ์ 2008 SAS Institute Inc. Cary, NC, USA.สงวนลิขสิทธิ์
1. การ์ทเนอร์ อิงค์. Magic Quadrant for Business Intelligence Platforms, 2008, เจมส์ ริชาร์สัน, เคิร์ต ชเลเกิล, บิล โฮสต์มานน์ และเนล แมคเมอร์ไค, 1 กุมภาพันธ์ 2551

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ