นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เผยข้อมูลจากงานสัมมนา Investment Forum 2024 โดยชี้แนะถึงทิศทางราคาทองคำครึ่งหลังของปี 2567 ว่า แนวโน้มความต้องการทองคำของตลาดในประเทศยังคงมีเพิ่มขึ้น แต่ต้องจับตามองถึงสถานการณ์และปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครฯ มีทีท่าชัดเจนต้องการให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟด เร่งลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ ทางฮั่วเซ่งเองมองว่าอีก 2-3 ปี นับจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองคำ
3 ปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทอง
- แนวโน้มดอกเบี้ย: คาดกันว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว และหากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มลงหรือเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว คาดว่าดอกเบี้ยจะลดมากกว่า 1 ครั้ง
- นโยบายการคลังของสหรัฐ: จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นผู้ชนะ ซึ่งทรัมป์เองมีนโยบายลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยจะส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ
- นโยบายการเงิน: หากเฟด ไม่ลดดอกเบี้ย หนี้ของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งฯ มีแนวโน้มว่าจะมีการก่อหนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดอกเบี้ยในระดับสูงจะนำมาซึ่งปัญหาหนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทอง หรือหากเฟดลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นผลบวกกับทองเช่นเดียวกัน
ทองคำยังคงได้รับความนิยมและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน โดยมีจุดเด่นซึ่งแตกต่างจากการลงทุนอื่น ๆ และถือเป็นการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% (ย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา) โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่นักลงทุนมักจะให้ความสนใจการลงทุนทองคำก็คือความสามารถในการคุ้มครองมูลค่าเงินลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นดังนี้
ฮั่วเซ่งเฮงแนะวิธีการสร้างผลตอบแทนให้สม่ำเสมอ
แนวทางที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และใช้ได้ดีกับทุกสภาวะของตลาด แม้ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วย 2 วิธีดังนี้
ความต้องการทองคำของตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้นนั้น จะยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันที่ผู้คนต่างซื้อทองคำมอบเป็นของขวัญ หรือได้เงินก้อนจากโบนัสและต้องการลงทุน ทั้งนี้ ฮั่วเซ่งเฮงแนะนำการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนี้
แนวโน้มราคาทองคำช่วงครึ่งหลังของปี 2567
แนวโน้มราคาทองคำโลก แนวรับบริเวณ 2,250-2,430 ดอลลาร์ ยังคงแข็งแกร่งและสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากระดับดังกล่าวได้ ซึ่งแต่ละรอบที่ปรับตัวขึ้นมาก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้แทบทุกครั้ง และยังมีการยก Low และยก High ขึ้นมาในแต่ละเวฟ ซึ่งเป็นรูปแบบของแนวโน้มขาขึ้น
คาดการณ์ แนวรับ 2,280 / 2,250 แนวต้าน 2,400 / 2,430
แนวโน้มราคาทองในประเทศ ได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวราว 2.40 บาทหรือราว 6.8% ช่วยหนุนราคาทองคำ โดยหลังจากขึ้นมาเหนือระดับ 40,000 บาทแล้ว ราคายังไม่เคยหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ 40,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของตลาด รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกระแสลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ และแน่นอนว่ารวมถึงแนวโน้มของทองคำที่เป็นขาขึ้นด้วย
คาดการณ์ แนวรับ 40,000 / 39,700 แนวต้าน 41,000 / 41,300
ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทอง
ประเด็นที่ 1 : ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในการประชุมเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อมูล Dot plot แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจลดดอกเบี้ยปีนี้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น\
ประเด็นที่ 2 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำค่อนข้างมาก
ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อทอง
ธนาคารกลางจีนประกาศระงับการซื้อทองคำในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 18 เดือน ทำให้ตลาดตีความว่าธนาคารกลางจีนอาจหยุดซื้อทองคำแล้ว ทั้งนี้ ในปี 2566 ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อรวม 225 ตัน หรือเฉลี่ย 19 ตันต่อเดือน
ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทอง
ประเด็นที่ 1 : ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในการประชุมเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อมูล Dot plot แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจลดดอกเบี้ยปีนี้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น
ประเด็นที่ 2 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำค่อนข้างมาก
ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อทอง
ธนาคารกลางจีนประกาศระงับการซื้อทองคำในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 18 เดือน ทำให้ตลาดตีความว่าธนาคารกลางจีนอาจหยุดซื้อทองคำแล้ว ทั้งนี้ ในปี 2566 ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อรวม 225 ตัน หรือเฉลี่ย 19 ตันต่อเดือน