"สมาธิสั้น" ไม่ใช่แค่ซนปกติ มีผลกระทบต่ออนาคตชีวิตของลูก

ข่าวทั่วไป Wednesday July 10, 2024 17:20 —ThaiPR.net

พ่อแม่หลายคนคงประสบปัญหาพฤติกรรมลูกซน อยู่ไม่นิ่ง ลืมง่าย ไม่สามารถตั้งใจทำอะไรต่อเนื่องได้นาน วอกแวกง่าย โดยธรรมชาติของเด็กทั่วไปอาจมีพฤติกรรมเหล่านี้ แต่มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความบกพร่องของพัฒนาการสมองส่วนหน้า ทำให้ปัญหาเหล่านี้ เป็นมากกว่าความซนปกติทั่วไป อาการเหล่านี้อาจเข้าข่ายโรคสมาธิสั้นที่พบบ่อยในเด็ก ผลกระทบทำให้มีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กไม่รับผิดชอบ ไม่ตั้งใจเรียน ดื้อ เกเร หรือก้าวร้าว ควรรีบมาพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการประเมินอาการ หากพบปัญหาจะได้รับคำปรึกษาในแนวทางการแก้ไขรักษาก่อนสายเกินไปจนส่งผลกระทบในอนาคตทั้งปัญหาพฤติกรรมการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ

แพทย์หญิงวรรณพักตร์ วิวัฒนวงศา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาล BMHH- Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า โรคสมาธิสั้น หรือ ภาวะสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder ) เป็นโรคที่อาการจะปรากฏให้เห็นตั้งแต่เล็กๆ และมีการดำเนินโรคเรื้อรังเป็นเวลาหลายปี โดยพบว่าสมาธิสั้นร้อยละ 60-85 ยังมีอาการอยู่ในช่วงเข้าวัยรุ่น และร้อยละ 40 - 50 ยังมีอาการต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้ โรคสมาธิสั้นมีอัตราความชุกประมาณ ร้อยละ 5 - 10 โดยพบในเพศฃายบ่อยกว่าเพศหญิง ในอัตราส่วน 3:1โดยโรคสมาธิสั้นเป็นความผิดปกติในการทำงานของสมองส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสมาธิและพฤติกรรมมีการทำงานลดลง ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดี จึงทำให้เด็กซน อยู่ไม่นิ่ง ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่และผู้มีส่วนร่วมในการดูแลเด็ก จึงควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นและแนวทางการรักษา โดยวิธีต่างๆ เพื่อนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงดูเด็กสมาธิสั้นได้อย่างเหมาะสมต่อไปอาการของโรคสมาธิสั้น หรือ Attention Deficit Hyperactivity Disorder (ADHD) เป็นภาวะบกพร่องในการทำงานของสมองที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติใน 3 ด้านหลัก

  • อาการสมาธิสั้น ขาดสมาธิที่ต่อเนื่อง เหม่อลอย จดจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ เบื่อง่าย ไม่ค่อยรอบคอบ ทำงานไม่เสร็จตามเวลา ไม่ชอบทำงานที่ต้องใช้สมาธิ หรือความพยายาม
  • อาการซนมากกว่าปกติหรืออยู่ไม่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา ต้องหาอะไรทำตลอด พูดมาก พูดเก่ง ชอบเล่นหรือทำเสียงดังๆ เล่นกับเพื่อนแรงๆ
  • อาการขาดการยั้งคิดหรือหุนหันพลันแล่น ใจร้อน วู่วาม ขาดความระมัดระวังในการทำสิ่งต่างๆ พูดโพล่ง พูดแทรก รอคอยอะไรไม่ค่อยได้

 สาเหตุของโรคสมาธิสั้นเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกันโดยมีปัจจัยหลัก ได้แก่

  • ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม หากพบว่าพ่อแม่หรือพี่น้องมีประวัติเป็นโรคสมาธิสั้น ทำให้ลูกมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นมากกว่าคนปกติทั่วไปถึง 4-5 เท่า
  • ปัจจัยทางด้านระบบประสาท กลไกความผิดปกติหลักเกิดจากความผิดปกติในการทำหน้าที่ของสารสื่อประสาทคือ โดพามีน (Dopamine) และ นอร์เอพิเนฟริน(Norepinephrine) ทำให้เกิดความบกพร่องด้านการบริหารจัดการและการควบคุมตนเอง จึงทำให้เด็กมีความบกพร่องในการควบคุมสมาธิการแสดงออกของพฤติกรรมและการจัดลำดับความสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆ
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม มีการศึกษาพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้นในเด็ก ได้แก่ การที่มารดามีภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ หรือการคลอดซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง เช่น คลอดก่อนกำหนด ได้รับสารตะกั่ว อุบัติเหตุของสมอง และพบว่ามารดาที่สูบบุรี่ ดื่มสุรา หรือใช้สารเสพติดในขณะตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงที่ทำให้ลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น
  • ปัจจัยการเลี้ยงดู ซึ่งทำให้เด็กมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นมากขึ้น โดยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ขาดระเบียบวินัย นอนดึก นอนน้อย และมีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และโทรทัศน์เป็นเวลานาน จะทำให้เด็กขาดทักษะสังคมและการสื่อสาร รวมถึงอาจมีปัญหาพฤติกรรมรุนแรงที่เกิดจากการเลียนแบบสิ่งที่ดูจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้นมักพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น โรคการเรียนรู้บกพร่อง หรือ Learning disorder (LD) , ปัญหาพฤติกรรมดื้อต่อต้าน ไม่ทำตามสั่ง, โรคกล้ามเนื้อกระตุก (Tics) และโรควิตกกังวลเมื่อผู้ปกครองพาเด็กมารับการประเมิน แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสภาพจิต ร่วมกับสังเกตพฤติกรรมของเด็ก นอกจากนี้ จะขอให้ผู้ปกครองและคุณครูทำแบบประเมินอาการหรือพฤติกรรมของเด็กเพื่อให้ได้ฃ้อมูลเพิ่มเติม โดยอาจมีการส่งตรวจหรือการทำการทดสอบเพิ่มเติม เช่น การทดสอบเฃาว์ปัญญาหรือทดสอบความสามารถของทักษะการเรียน เพื่อประเมินว่าเด็กมีความบกพร่องด้านสติปัญญาหรือด้านทักษะการเรียน ซื่งเป็นภาวะที่สามารถพบร่วมได้ในเด็กสมาธิสั้นการรักษาโรคสมาธิสั้นที่ได้ผลดีที่สุด คือการใช้แนวทางรักษาแบบผสมผสานประกอบด้วย การรักษาด้วยยา จะทำให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น ซนน้อยลง ดูสงบลง แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ ซึ่งผู้ปกครองต้องพาเด็กพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และกินยาตามที่แพทย์สั่ง, การให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและครู ในการปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม ให้เด็กมีการสร้างสมาธิ เช่น กำหนดตารางเวลากิจวัตรประจำวันให้เป็นระเบียบแบบแผน ให้เด็กมีกิจกรรมที่ต้องออกกำลังกาย หรือใช้แรงในทางสร้างสรรค์ เช่น ช่วยทำงานบ้าน ออกกำลังกาย

    ผู้ปกครองและครูจำเป็นต้องเข้าใจว่าโรคสมาธิสั้นคืออะไรและรักษาอย่างไร เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กทั้งด้านการเรียนและการปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม ไม่ลงโทษรุนแรงจนทำให้เสียสัมพันธภาพหรือเกิดผลกระทบอื่นๆตามมา ควรเข้าใจว่าพฤติกรรมและอาการที่เด็กแสดงออกมานั้น เป็นสิ่งที่เด็กไม่ได้ตั้งใจหรืออยากทำ แต่เป็นอาการของโรคที่ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ดี ผู้ปกครองและครูจึงควรให้ความเมตตาและให้อภัยเมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และค่อยๆฝึกสอน ปรับพฤติกรรมเด็กต่อไปทั้งนี้พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการที่เข้าข่ายโรคสมาธิสั้น ควรรีบมาพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป แพทย์หญิงวรรณพักตร์ วิวัฒนวงศาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นโรงพยาบาลBMHH- Bangkok Mental Health Hospital


    เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ