การ์ทเนอร์ รายงานว่า 80% ของ CIO จะมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนขององค์กรไอที ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่เกิน 2570
กฎระเบียบด้านไอทีกำลังยกระดับความร้อนแรงขึ้นทั่วโลก สหภาพยุโรปกำลังเป็นแกนนำ แต่ก็ไม่ได้ไปเพียงลำพัง เพราะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาเพิ่งอนุมัติกฎที่จะกำหนดให้บริษัทมหาชนบางแห่ง ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สถิติ 80% ที่เอ่ยไปข้างต้น มีเพียง 43% ของผู้บริหารเท่านั้น ที่กล่าวว่าตนตระหนักดีถึงการปล่อยคาร์บอนจากไอทีในองค์กร หรือ IT Footprint นั่นเอง
ดังนั้น 80% ของ CIO จะต้องมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของไอทีในองค์กร กระนั้นก็ตาม มีผู้บริหารเพียง 43% เท่านั้นที่ทราบเรื่องฟุตปริ้นด้านไอทีในองค์กร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งที่เราได้ยินจากลูกค้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือการรายงาน PUE (Power Usage Effectiveness) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพสำหรับการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล ที่ดูเหมือนตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การวัดผลความก้าวหน้าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะการเข้าถึงและส่งออกข้อมูลจะต้องทำได้ง่าย โดยผู้บริหารบอกเราว่าการจะเข้าใจว่าจะเริ่มต้นที่ไหนและอย่างไรอาจเป็นเรื่องยาก และกฎระเบียบใหม่ต้องการมากกว่าแค่การรายงานเรื่อง PUE
...ทั้งหมดนี้กำลังจะเปลี่ยนไป
ฟีเจอร์ใหม่ด้านความยั่งยืน ช่วยให้ออกรายงานตามต้องการได้รวดเร็ว นำไปใช้ต่อได้ง่าย
ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT DCIM รูปแบบใหม่มาพร้อมกับฟีเจอร์การออกรายงานความยั่งยืนได้โดยอัตโนมัติ พ่วงการการันตีด้วยรางวัล โดยวันนี้ผู้ใช้ EcoStruxure IT ทุกคนจะสามารถใช้ความสามารถใหม่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจเทคนิคเชิงลึก และไม่ต้องคำนวณข้อมูลด้วยตัวเอง
โมเดลใหม่นี้แตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาด เพราะเป็นโมเดลที่ให้เครื่องมือในการสร้างรายงานได้สะดวก รวดเร็ว และใช้งานง่าย ช่วยให้ลูกค้าสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ รวมถึง European Energy Efficiency Directive (EED) ซึ่งความสามารถใหม่จะให้มากกว่าตัวชี้วัดตามข้อกำหนด EED ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าสามารถวัดข้อมูลประสิทธิภาพพลังงานในศูนย์ข้อมูลในแบบเรียลไทม์ รวมถึงในอดีตที่ผ่านมาได้ เทียบกับตัววัดการรายงานขั้นสูงทั้งหมดที่ระบุอยู่ใน White Paper ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยมีการออกคู่มือตัวชี้วัดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับศูนย์ข้อมูลในปีที่ผ่านมา และกลายเป็นคู่มือหลักสำหรับอุตสาหกรรมในการออกรายงานด้านความยั่งยืน
ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ช่วยให้ทั้งเจ้าของและผู้ปฏิบัติงานสามารถวัด และรายงานประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล ตามการวิเคราะห์แนวโน้ม และข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา โดยทำงานร่วมกับ AI และการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อมูลเชิงลึก ที่นำไปใช้ดำเนินการได้จริงเพื่อสร้างความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันใหม่ด้านการดาวน์โหลด ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถระบุปริมาณและการรายงานได้รวดเร็วแค่เพียงคลิก ช่วยตัดงานที่ต้องทำด้วยตัวเองออกไป ทำให้ควบคุมพลังของข้อมูลได้เร็วและง่ายขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลของตน
ยุคใหม่ของ Green IT ชไนเดอร์ อิเล็คทริคคือลูกค้าเช่นกัน
EcoStruxure IT ได้รับการทดสอบ และถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร รวมถึงในชไนเดอร์ อิเล็คทริคเองด้วย โดยในปี 2021 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เปิดตัว Schneider Sustainability Impact (SSIs) เพื่อเผยแพร่ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของบริษัท ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ SSI อลิซาเบธ แฮคเคนสัน ซึ่งเป็น CIO ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ริเริ่มโครงการ Green IT ของบริษัท ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้านไอทีเพื่อความยั่งยืนขององค์กร โดยจะระบุวิธีการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในรูปแบบใหม่อย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยให้โครงการดังกล่าวบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซจากระบบ IT อย่างน้อย 5% ต่อปี
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ที่ติดตั้งในไซต์งานหลักกว่า 140 แห่งทั่วโลก มาช่วยให้การดำเนินงานด้านไอที ให้มีความยืดหยุ่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดย Green IT แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สามารถนำศักยภาพใหม่ของ EcoStruxure IT ไปใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนได้มากขึ้น ช่วยให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มองเห็นการใช้พลังงานด้าน IT ในไซต์งานได้มากขึ้น ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก EcoStruxure IT ทำให้เห็นว่า โรงงานอัจฉริยะที่เล็กซิงตัน รัฐเคนตักกี้ มีการใช้พลังงานลดลง 30% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก
"การใช้ EcoStruxure IT ช่วยให้เรามีความคืบหน้าที่ดีอย่างต่อเนื่อง ในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อลดการใช้พลังงานด้านไอที และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยให้บริษัทก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน" แฮคเคนสัน กล่าว "เรากำลังทำให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับประโยชน์เหล่านี้เช่นกัน"