เคยเป็นไหมคะ เหมือนจำได้ แต่อยู่ดีๆ ก็ลืม อย่างนี้เข้าข่ายสมองล้าหรือไม่ ต้องมาลองเช็กกันหน่อยค่ะ สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ไม่มีสมาธิ ขี้ลืม เหนื่อยง่าย ร่างกายของคุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่? ถ้ามีแปลว่าคุณกำลังเผชิญกับภาวะสมองล้าอยู่ นพ.นรินทร สุรสินธน แพทย์ American Board of Anti-Aging Medicine จาก Addlife Anti-Aging Center ชั้น 2ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) กล่าวว่า สมองล้าเป็นภาวะที่สมองทำงานหนักมากเกินไปเป็นเวลานาน จนส่งผลต่อสมองในส่วนของสารเคมีทำหน้าที่ควบคุมระบบไฟฟ้าระหว่างเซลล์ประสาททำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเราปล่อยไว้นานจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราได้อย่างมากมาย
สาเหตุของสมองล้า ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ได้แก่
- มีสภาวะความเครียดมากเกินไปส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดเสี่ยงภาวะสมองล้า
- พักผ่อนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และขาดการออกกำลังกาย
- รับคลื่นแม่เหล็กจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ หรือใช้งานคอมพิวเตอร์มากเกินไป
- เกิดจากการทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นต้น
- โรคเรื้อรังบางชนิดจะเพิ่มความเสี่ยงภาวะสมองล้าได้เช่นกัน
- เกิดจากสารพิษในร่างกาย เช่น สารโลหะหนัก การปนเปื้อนในอาหาร หรือมลพิษ เป็นต้น
- การขาดสารอาหารบางประเภท เช่น วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน หรือสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งหาได้จากผักผลไม้เป็นหลัก
อาการของภาวะสมองล้า
- อาการทางสมองจากภาวะสมองล้าได้แก่ มีปัญหาด้านความจำ ไม่ค่อยมีสมาธิ คิดได้ช้า ส่งผลให้ทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ลำบากมากยิ่งขึ้น
- อาการทางร่างกายและอารมณ์จากภาวะสมองล้าได้แก่ อาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะแบบเรื้อรัง หงุดหงิดง่าย และสายตาอ่อนเพลีย
อย่าปล่อยไว้นานไม่ดี! มาทำให้ภาวะสมองล้ากลับมาแข็งแรง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลให้สุขภาพสมองแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เริ่มจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเป็นเวลา ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย บริหารจัดการความเครียดของตนเอง และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง
แต่หากภาวะสมองล้ามาจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะฮอร์โมนขาดความสมดุล จุลินทรีย์ในลำไส้ขาดความสมดุล หรือมีสารพิษตกค้างในร่างกาย อาจจำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดก่อน เพื่อการฟื้นฟูภาวะสมองล้าอย่างตรงจุด
ภาวะสมองล้าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะวัยทำงานและวัยเรียน ถึงแม้อาการจะสามารถหายได้ในเวลาต่อมา แต่หากไม่ใส่ใจอาจมีโรคอื่นๆ ตามมาในภายหลัง การผ่อนคลายตนเองไม่ให้สมองทำงานหนักจึงเป็นสิ่งที่เราควรคำนึงถึงอยู่ตลอด และดูแลตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ พร้อมทั้งปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม เพราะกุญแจหลักของร่างกายเราคือ สมอง ที่ใช้งานอยู่ตลอดเวลา