บลจ. พรินซิเพิล เพิ่มทุน "พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้" เป็น 2 หมื่นล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นและรองรับความต้องการของนักลงทุน ผลงานโดดเด่น โชว์ผลตอบแทนครึ่งปีแรก 21.49% ระดับ Morningstar 5 ดาว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 7, 2024 11:10 —ThaiPR.net

บลจ. พรินซิเพิล เพิ่มทุน

บลจ. พรินซิเพิล ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิด "พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) อีกเท่าตัว เป็น 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและผลงานโดดเด่น มองตลาดหุ้นเวียดนามครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจจากทั้งในและต่างประเทศ การเมืองที่มีเสถียรภาพ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ชูศักยภาพกองทุนได้รับ Morningstar ระดับ 5 ดาวทำผลตอบแทน 6 เดือนแรกปีนี้ที่ 21.49%

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า บลจ. พรินซิเพิล ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิด "พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้" (PRINCIPAL VNEQ) เป็น 20,000 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านหน่วย จากเดิมมีทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านหน่วย เพื่อรองรับความต้องการจากนักลงทุนและตอกย้ำถึงศักยภาพกองทุนที่สามารถทำผลงานที่โดดเด่นและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ที่สนใจการผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม

ขณะที่ ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 สร้างผลตอบแทน 21.49% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ทำได้ 4.46% โดยในปี 2566 ให้ผลตอบแทน 11.94% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย และสูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ทำได้ 5.03% (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) นอกจากนี้กองทุนได้รับการจัดอันดับ Morningstar ระดับ 5 ดาว

นายจุมพล กล่าวว่า เวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูงและตลาดหุ้นมีความน่าสนใจเข้าลงทุนต่อเนื่องถึงแม้ว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งโดยมีจุดเด่นที่น่าจับตามอง ได้แก่
1) เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่คาดว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเวียดนามจะเติบโตเฉลี่ย 6.5% ในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ โดยในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 ที่ผ่านมา GDP ของเวียดนามปรับขึ้นสูงถึง 7% จากปีก่อนจากการภาคอุตสาหกรรมและการผลิต 2) ประชากรในเวียดนามมีศักยภาพสูงทั้งด้านความสามารถด้านภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนศึกษาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ในขณะที่ค่าแรงของเวียดนามไม่สูงนัก ทำให้สามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ 3) บริษัทต่าง ๆ กระจายการลงทุนจากจีนมายังเวียดนามจากการใช้นโยบาย China+1 และเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีโอกาสรุนแรงขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้ และ 4) การส่งออกของเวียดนามทั้งสินค้าและบริการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าสินค้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สอดคล้องกับเทรนด์ด้าน AI ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นในระดับสูงกว่าปี 2561 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 5) เศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง ทำให้การบริโภคในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น ประชาชนมีกำลังการบริโภคมากขึ้น ชนชั้นกลางเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการค้าปลีกที่อยู่เหนือระดับ 9% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือน ก.ค. ตัวเลขปรับขึ้นถึง 9.4% จากช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว

ถึงแม้ว่าค่าเงินดองจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้การเติบโตของตลาดหุ้นเวียดนามลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/2567 ที่ออกมาแข็งแกร่ง ทั้งนี้ธนาคารกลางเวียดนามได้มีการแทรกแซงค่าเงินดองในช่วงที่ผ่านมาและทำให้สกุลเงินดองมีเสถียรภาพมากขึ้น และตลาดคาดว่าค่าเงินของหลายประเทศจะแข็งค่าขึ้นได้หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ในส่วนของการเมืองเวียดนามนั้นมีเสถียรภาพสูงเนื่องปกครองด้วยพรรคการเมืองเดียว ถึงแม้ว่านายเหวียน ผู จ่อง เลขาธิการพรรคสังคมนิยมซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเวียดนามได้เสียชีวิตลงในวัย 80 ปีช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดมากนัก เนื่องจากมีการวางระบบไว้เรียบร้อย โดยนายโต ลาม ประธานาธิบดีเวียดนามจะเข้ารักษาการแทนจนกว่าจะครบวาระ

เศรษฐกิจที่เติบโต การเมืองที่มั่นคง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามสร้างผลตอบแทนดีที่สุดในอาเซียน โดยคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นเวียดนามในอีก 12 เดือน และ 24 เดือนข้างหน้านับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 จะโตได้กว่า 30% และ 20% ตามลำดับ ในขณะที่ค่า  Forward P/E เฉลี่ย 12 เดือนอยู่ในระดับไม่สูงมากประมาณ 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีประมาณ -0.5 SD จึงเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมเพิ่มได้สำหรับนักลงทุนระยะกลางและยาว

กองทุน PRINCIPAL VNEQ บริหารจัดการโดย บลจ. พรินซิเพิลโดยตรง ผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์จะทำบทวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหุ้นเวียดนามภายในเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ได้เหนือตลาด และคัดเลือกหุ้นที่มีลักษณะ FMV ครบ คือ F (Fundamental) ปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่ดี มีธรรมาภิบาลสูง M (Momentum) ราคาของหลักทรัพย์มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง และมีสภาพคล่องมากเพียงพอ และ V (Valuation) มีมูลค่าที่เหมาะสมและสูงกว่าราคาปัจจุบัน กองทุนเน้นการสร้างผลตอบแทนระยะยาว และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่นักลงทุนรายย่อยเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก จากปรัชญาการลงทุนที่แข็งแกร่งทำให้กองทุน PRINCIPAL VNEQ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างผลตอบแทน 6 เดือนแรกได้ถึง 21.49% สูงกว่าดัชนีชี้วัดกว่า 17% ในขณะที่ควบคุมความเสี่ยงกองทุนได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด

สำหรับผู้สนใจสอบถามข้อมูลหรือทำรายการผ่านแอฟพลิเคชันชั้นนำ ได้ที่ แอฟพลิเคชันของ CIMB Thai, KPLUS, SCB Easy, KMA Krungsri mobile app, Finnomena, Edge by KKPS, Tisco My Wealth, InnovestX, KTB Next, Profita (LH Bank), Ascend Wealth (True Money), Principal TH หรือขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02-686-9500 หรือ www.principal.th หรือดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.principal.th/th/principal/VNEQ-A นอกจากนี้สามารถเปิดบัญชีและทำรายการซื้อผ่าน Principal TH Mobile App สามารถดาวน์โหลดที่ App Store และ Google Play และ https://www.principal.th/th/principalTH.html


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ