ฟิทช์ให้อันดับเครดิตหุ้นกู้มูลค่า 2 หมื่นล้านบาทของธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ ‘A+(tha)’

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 15, 2008 16:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัดประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) แก่หุ้นกู้ประเภทไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิ จำนวน 2 ชุด ครบกำหนดไถ่ถอนปีพ.ศ. 2553 และ 2554 ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ที่ระดับ ‘A+(tha)’ โดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดมีมูลค่ารวมไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ตัวธนาคารเองมีแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวก
อันดับเครดิตของธนาคารสะท้อนถึงสถานะเงินกองทุนและคุณภาพของเครือข่ายของธนาคารที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการสนับสนุนทางด้านการดำเนินงานและด้านการเงินจาก GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ซึ่งขณะนี้ถือหุ้นใน BAY อยู่ 35% ระดับของการสนับสนุนจาก GECIH ที่สูงขึ้น คาดว่าจะทำให้ธุรกิจในส่วนลูกค้ารายย่อยของ BAY ขยายตัวได้มากขึ้น และคาดว่าจะช่วยให้ผลประกอบการของธนาคารดีขึ้นได้ในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า นอกจากนี้ BAY ยังได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของ GECIH ในด้านการให้บริการทางธุรกรรมระดับสากล ด้านเทคโนโลยี และด้านการปฏิบัติการ
ในไตรมาสแรกปี 2551 BAY รายงานผลกำไรจำนวน 1.0 พันล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการกันสำรองหนี้สูญที่สูงขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อรายย่อยของธนาคารและมีการบันทึกผลขาดทุนเพิ่มเติมจากการลดลงของมูลค่าตลาดของเงินลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Collateralized Debt Obligation หรือ CDO อย่างไรก็ตามเงินลงทุนใน CDO นั้นมีจำนวนค่อนข้างต่ำ และผลประกอบการของธนาคารได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของ BAY ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.3% ในไตรมาสแรกปี 2551 จาก 3.0% ในปี 2550
ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2551 ระดับของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงที่ 7 หมื่นล้านบาท หรือ 13% ของสินเชื่อรวม ถึงแม้ว่าอัตราส่วนของการกันสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 51% ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวยังคงต่ำกว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ BAY อาจต้องกันสำรองเพิ่มเติมอีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม ฐานเงินทุนของธนาคารในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการกันสำรองหนี้สูญเพิ่มเติม คาดว่าธนาคารมีแผนที่จะขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นจำนวนประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทภายในปี 2551 น่าจะทำให้ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารลดลงมาต่ำกว่า 10% ภายในสิ้นปีนี้
หลังจาก BAY ได้เข้าซื้อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของ GE Capital Auto Lease (GECAL) ที่มีสินทรัพย์ประมาณ 7.8 หมื่นล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมของ BAY ลดลงมาที่ระดับประมาณ 14% และ 18% ตามลำดับ การกันสำรองหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของสินเชื่ออาจทำให้อัตราส่วนเงินทุนของธนาคารลดลงไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม ฟิทช์มองว่าอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวกของธนาคารมีพื้นฐานมาจากการคาดการณ์ว่าสถานะเงินกองทุนของธนาคารจะยังคงแข็งแกร่ง และการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับการสนับสนุนทั้งทางด้านการบริหาร การดำเนินงาน และการเงินจาก GECIH น่าจะทำให้การดำเนินงานของธนาคารปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า ปัจจุบันสินเชื่อรายย่อยของธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล มีสัดส่วนประมาณ 33% ของสินเชื่อรวม และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2553
BAY ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2488 เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย โดยมีสาขาทั้งสิ้น 568 สาขา และมีส่วนแบ่งการตลาดทางด้านสินเชื่อและทางด้านเงินฝากอยู่ที่ 9% และ 8% ตามลำดับ ธนาคารมีบริษัทในเครือซึ่งดำเนินธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจบริหารกองทุน และธุรกิจเช่าซื้อ เนื่องจากธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของเงินฝากและสินเชื่อในสัดส่วนที่ค่อนข้างใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหากมีความจำเป็น
ติดต่อ
Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4759
ดรุณี เพียรมานะกิจ, กรุงเทพฯ +662 655 4752

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ