ฟิทช์จัดอันดับเครดิตภายในประเทศหุ้นกู้ชุดใหม่ของ บจม. ไทยออยล์ ที่ระดับ ‘AA-(tha)’

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 15, 2008 16:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาว หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มูลค่ารวมไม่เกิน 3.0 พันล้านบาท อายุไม่เกิน 5 ปี ที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตสะท้อนถึง ความสำคัญของบริษัทต่อ บมจ. ปตท. หรือ ปตท. จากการที่บริษัทเป็นโรงกลั่นหลักของ ปตท.ในการดำเนินธุรกิจการกลั่นน้ำมัน และการดำเนินธุรกิจในลักษณะพึ่งพากันระหว่างบริษัทกับ ปตท. นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการที่บริษัทดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปชนิดที่มีมูลค่าสูงได้ในสัดส่วนที่สูง ในขณะที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ TOP สามารถรักษาความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การที่บริษัทเข้าไปลงทุนเพิ่มในธุรกิจผลิตสารพาราไซลีนและผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน เป็นการเพิ่มระดับการผลิตแบบครบวงจรซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์น้ำมันและลดความผันผวนของรายได้จากค่าการกลั่นน้ำมัน ในขณะที่การดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าอาจจะช่วยลดความผันผวนของรายได้จากธุรกิจการกลั่นน้ำมันได้บางส่วน แม้ว่าปัจจุบันกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะมีสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่ก็ตาม
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ตลอดจนนโยบายทางการเงินที่จะรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำ TOP มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (EBITDAR) ที่แข็งแกร่งที่ระดับ 2.84 หมื่นล้านบาทในปี 2550 เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2550 เนื่องจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แต่ EBITDAR ของบริษัทอ่อนตัวลงในไตรมาส 1 ปี 2551 โดยลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเหลือ 5.8 พันล้านบาทเนื่องจากการหยุดการผลิตสารพาราไซลีนเป็นเวลา 75 วันโดยประมาณเพื่อการซ่อมบำรุงครั้งใหญ่และเชื่อมต่อส่วนขยายกำลังการผลิต และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ลดลงในธุรกิจผลิตสารพาราไซลีนและผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากการที่ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2551 บริษัทมีหนี้สินรวมและหนี้สินสุทธิอยู่ที่ 3.06 หมื่นล้านบาทและ 2.59 หมื่นล้านบาทตามลำดับ และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานย้อนหลัง 12 เดือน (Last-Twelve-Month Funds from Operations Adjusted Net Leverage) และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าย้อนหลัง 12 เดือน (Net Adjusted Debt to Last-Twelve-Month EBITDAR) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 1.1 เท่า และ 1.0 เท่าตามลำดับในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2551 ในขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานต่อค่าใช้จ่ายคงที่ (FFO/Fixed Charges) อยู่ที่ 14.6 เท่าและอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA to Gross Interest) อยู่ที่ 14.9 เท่า
ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของบริษัท ถูกลดทอนลงจากปัจจัยเสี่ยงที่บริษัทต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ค่าการกลั่น ตลอดจนราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลก และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นการจัดหาน้ำมันดิบเนื่องจากบริษัทยังต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ไม่กระจายตัวมากพอ และมีฐานการผลิตแห่งเดียว ประกอบกับบริษัทพึ่งพาตลาดเพียงตลาดเดียวเนื่องจากบริษัทขายผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในตลาดในประเทศ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ไม่กระจายตัวมากพอได้ถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่ ปตท. ซึ่งเป็นผู้รับซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ในการจัดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย และมีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งที่ระดับ ‘AA+(tha)’
แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทเนื่องจากความได้เปรียบในด้านต้น ทุนการผลิต และนโยบายทางการเงินของบริษัทที่จะยังคงรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก TOP ต้องเผชิญกับวัฎจักรของธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่มีความผันผวนสูง ดังนั้นถ้าบริษัทไม่สามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือมีอัตราส่วน Net Debt to EBITDA ที่สูงกว่า 1 เท่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ความคล่องตัวทางการเงินของบริษัทลดลง และอาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) เป็นการวัดระดับความน่าเชื่อถือในเชิงเปรียบเทียบกันระหว่างองค์กรในประเทศนั้นๆ โดยจะใช้ในประเทศที่อันดับเครดิตแบบสากลของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อันดับเครดิตขององค์กรที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับองค์กรที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในตลาดในประเทศเป็นหลักและจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย ดังนั้นอันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
ติดต่อ: เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, วสันต์ ผลเจริญ, Vincent Milton, + 662 655 4755

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ