ปัจจุบันในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะ สหภาพยุโรปที่มีมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่เป็นการกำหนดการมีใบรับรองการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือ CBAM certificates ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนที่แท้จริงจากกระบวนการผลิตของสินค้านั้น ๆ เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EU นโยบายด้าน ESG เหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัว และเตรียมรับมือกับมาตรฐานโลก โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นฐานการผลิต ผู้นำเข้าและส่งออกสินค้าไปทั่วโลก ผู้ประกอบการต้องหันมาให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้โดดเด่นจากคู่แข่งในตลาดโลกได้ ในประเทศไทยเองก็ได้มีการออกกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม แต่ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้เต็มที่ เพราะมีข้อจำกัดในด้านการกำกับดูแลและต้นทุนเทคโนโลยีที่มีราคาสูง LIV-24 มองเห็นโอกาสให้การนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ โดยใช้ AI วิเคราะห์และประมวลผลการใช้พลังงานในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อออกแบบโซลูชัน ที่จะเข้ามาช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นการปฏิวัติภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน
นางสาวนิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด เปิดเผยว่า "LIV-24 มุ่งพัฒนาโซลูชันสนับสนุน มาตรฐานด้าน ESG ในภาคอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากตระหนักถึงวิกฤติสิ่งแวดล้อมระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อม จากความมั่นใจที่เรามีประสบการณ์ การใช้เทคโนโลยี AI และ Iot ดูแลโครงการอสังหาริมทรัพย์กว่า 130 โครงการ ครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ ทั้งที่อยู่อาศัย อาคารเชิงพาณิชย์ อาคารมิกซ์ยูส ศูนย์บริการสาขา คลังสินค้า และธุรกิจบริการอย่างโรงแรมหลายแห่งในประเทศไทย LIV-24 มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับภาคอุตสาหกรรม INDUSTRIAL TECHNOLOGY โดยใช้ AI ผสานกับประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ โดยนำเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะตรวจจับความผิดปกติ (CCTV Analytic) ระบบ IoT Monitoring มาใช้ควบคุมและมอนิเตอร์อาคาร เครื่องจักร ระบบต่างๆ ที่จำเป็นต่อกระบวนการผลิต รวมถึงการจัดการด้านพลังงาน น้ำเสีย และระบบขนส่ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เทคโนโลยีทั้งหมดนี้ถูกเชื่อมต่อเข้ากับศูนย์ควบคุมส่วนกลาง Command Centre ที่ดูแลแบบ Real-Time ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ การทำงานของระบบมีการเก็บข้อมูล และทีมผู้เชี่ยวชาญช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และแจ้งเตือนอัตโนมัติถ้ามีเหตุผิดปกติเพื่อประสานงานเข้าแก้ไขอย่างทันท่วงทีก่อนที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเก็บข้อมูลอย่างละเอียดและนำมาประมวลผลได้ ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถปรับตัว วางแผนการทำงาน รวมไปถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มผลผลิตให้ดีขึ้น ภายใต้งบลงทุนที่กำหนดได้ ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัย ช่วยในการประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ถึง 20% นอกจากนี้ ระบบยังสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการลดคาร์บอน ช่วยให้โรงงานปรับตัวเข้ากับความต้องการของลูกค้าที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ LIV-24 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน"
LIV-24 ได้พัฒนาและออกแบบ Solution ที่ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยี เพื่อภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ดังนี้
"ปัญหามลพิษ และการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการโรงงานอุตสาหกรรม ผลักดันมาตรฐาน Green Industry, มาตรฐาน Eco Factory โดยเทคโนโลยีของ LIV-24 จะเข้ามาช่วยออกแบบโซลูชัน ที่มาช่วยส่งเสริมให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ในภาคธุรกิจ LIV-24 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัดเทียมนานาชาติได้ ภาวะโลกร้อนในตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เป็นต้นทุนที่มองไม่เห็นและเป็นภาระที่คนไทยต้องแบกรับหากไม่มีการแก้ไข "นางสาวนิรมล กล่าวทิ้งท้าย