THRE เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 67 กำไรสุทธิ 163 ล้านบาท เติบโต 23% กวาดรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 3,752 ล้านบาท ธุรกิจกลุ่ม Non-conventional และ Conventional เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในไทยและต่างประเทศ คุมค่าใช้จ่ายตามแผนรวมถึง Combine Ratio อยู่ในระดับ 96.6% ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่รวม mark-to-market ยังคงระดับ 3.5% ผู้บริหารมองภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรงในภาคเหนือส่งผลให้ราคาประกันภัยต่อมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นรวมถึงความต้องการด้านประกันภัยต่อเพิ่มมากขึ้น นับเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจไทยรีในปีหน้า
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) ครอบคลุมทั้งการรับประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุ วิศวกรรม ภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้า ภายในประเทศและต่างประเทศ รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 67 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท โดยมีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 3,752 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 3,515 ล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากปรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจในกลุ่ม Non-Conventional และ Conventional ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ธุรกิจกลุ่ม Personal line และ Commercial line เติบโต อีกทั้งยังบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายและควบคุมความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้สามารถรักษา Combine Ratio ไว้ได้ที่ระดับ 96.6%
ในไตรมาส 3/67 บริษัทมีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 1,200 ล้านบาท มีกำไรจากการรับประกันภัย 49 ล้านบาท และมีผลตอบแทนจากการลงทุนสุทธิกรณีไม่รวม mark-to-market 24 ล้านบาท สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้จะได้รับผลกระทบความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้นจากการประกาศลดดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เงินลงทุนสกุลเงินตราต่างประเทศต้องรับรู้ผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงตามมาตรฐานการบัญชี (mark-to-market) 63 ล้านบาท จึงทำให้มีขาดทุนจากการลงทุนสุทธิ 39 ล้านบาท บริษัทฯ มั่นใจว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชีในระยะสั้น ไม่ส่งผลต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว
"สำหรับไตรมาส 4/67 แม้ว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัยภาคเหนือ บริษัทมองว่ายังสามารถคงเป้าหมายการทำกำไรและ Combine Ratio ในระดับที่เหมาะสม รวมไปถึงเป้าหมายการล้างขาดทุนสะสมให้ได้ทั้งหมดภายในสิ้นปี 2567 สำหรับสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรงบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในปีนี้
คาดว่าจะเป็นสัญญาณบวกส่งผลให้ราคาเบี้ยประกันภัยต่อมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นรวมถึงความต้องการด้านประกันภัยต่อเพิ่มมากขึ้น ทำให้เบี้ยประกันภัยต่อรับของบริษัทฯ สูงขึ้น จึงเป็นผลบวกต่อภาพรวมของบริษัท" นายโอฬารกล่าว