บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ส่งสัญญาณผลงานไตรมาส 4/67 โตแกร่ง รับอานิสงส์ความต้องการน้ำมันปาล์มดิบและราคาขายพุ่ง ฟากผู้บริหาร "พรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล" มั่นใจรายได้ปี 67 โตเข้าเป้า 10-15% ชี้ตลาดมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โชว์ผลงาน 9 เดือนกวาดรายได้กว่า 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.3% กำไรสุทธิ 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่ากำไรรวมทั้งปี 66 อยู่ที่ระดับ 310.73 ล้านบาท
นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากดีมานด์การใช้น้ำมันปาล์มในประเทศที่ยังคงเติบโต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมโอเลโอเคมิคอล โดยประเมินว่าในปี 2567 การบริโภคน้ำมันปาล์มในประเทศ และความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จะขยายตัวเฉลี่ยระดับ 6-7%
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั่วโลกในปัจจุบันมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และด้วยพัฒนาการของไทย ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ในหลายๆด้าน โดยมีปัจจัยหนุนได้แก่ 1.แนวโน้มการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันจาก 6 ล้านไร่ ในปัจจุบันสู่ 10 ล้านไร่ ภายในปี 2572 จากการสนับสนุนของนโยบายรัฐ 2.ปัจจุบันต้นปาล์มน้ำมันมีอายุเกิน 8 ปี ที่อยู่ในเกณฑ์อายุที่ให้ผลผลิตต่อไร่ (Yield) สูง มีจำนวนมากขึ้น 3.ราคาปาล์มอยู่ในเกณฑ์ดีและจูงใจเกษตรกรให้มีแรงจูงใจเพาะปลูก และจากที่ราคายางตกต่ำเกษตรกรบางส่วนหันมาปลูกปาล์มน้ำมันแทนยางพารา
โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ 3 ของโลก มียอดการผลิตในปี 2566 ทั้งหมด 3.32 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 4% ของการผลิตน้ำมันปาล์มทั่วโลก ที่มีปริมาณรวม 77.28 ล้านตัน ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างประเทศอินโดนีเซีย มีสัดส่วนการผลิต 57% และมาเลเซีย 26% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ผลิตรวมกันได้ 13%
"มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากงวด 9 เดือน มีรายได้จากการขายและการให้บริการกว่า 21,747.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,051.9 ล้านบาท หรือ 16.3% และมีกำไรสุทธิ 400.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 214.5 ล้านบาท และสูงกว่ากำไรรวมทั้งปี 2566 ที่อยู่ในระดับ 310.73 ล้านบาท และคาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโต 10-15% ตามแผนงานที่วางไว้"
สำหรับการที่รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้รับปัจจัยหนุนจากการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) และผลิตภัณฑ์หลักมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากความต้องการของลูกค้าที่เป็น Strategic Partner และมีลูกค้าใหม่ที่ทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทฯ ขณะที่ต้นทุนในการจัดจำหน่ายลดลง 6.4% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และได้รับผลดีจาก Economy of Scale อีกด้วย