Kaspersky รายงาน ธุรกิจอาเซียนโดนเจาะหาข้อมูลประจำตัวหนักหน่วง บล็อกการโจมตีได้มากกว่า 23 ล้านครั้ง

ข่าวเทคโนโลยี Thursday December 12, 2024 08:50 —ThaiPR.net

Kaspersky รายงาน ธุรกิจอาเซียนโดนเจาะหาข้อมูลประจำตัวหนักหน่วง บล็อกการโจมตีได้มากกว่า 23 ล้านครั้ง

แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก ระบุว่าสามารถบล็อกการโจมตีแบบ bruteforce ที่พยายามโจมตีธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มากกว่า 23 ล้านครั้ง ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2024

การโจมตีแบบบรูทฟอร์ซ (bruteforce attack) เป็นวิธีการที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ในการคาดเดาข้อมูลการเข้าสู่ระบบ (login info) คีย์การเข้ารหัส (encryption key) หรือค้นหาเว็บเพจที่ซ่อนอยู่ โดยพยายามใช้ชุดอักขระที่เป็นไปได้ทั้งหมดอย่างเป็นระบบจนกว่าจะพบชุดอักขระที่ถูกต้อง การโจมตีแบบบรูทฟอร์ซที่ประสบความสำเร็จ ผู้โจมตีจะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่มีค่า สามารถติดตั้งและแพร่กระจายมัลแวร์ และแฮ็กระบบเพื่อดำเนินการที่เป็นอันตรายต่างๆ

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2567 ผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรธุรกิจของแคสเปอร์สกี้ที่ติดตั้งในบริษัทขนาดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตรวจพบและบล็อก Bruteforce.Generic.RDP ได้ทั้งหมดจำนวน 23,491,775 รายการ

โปรโตคอล Remote Desktop Protocol หรือ RDP คือโปรโตคอลของ Microsoft เป็นอินเทอร์เฟซแบบกราฟิกให้ผู้ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่านเครือข่าย โปรโตคอล RDP ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อควบคุมเซิร์ฟเวอร์และพีซีเครื่องอื่นๆ จากระยะไกล โดยผู้ดูแลระบบรวมถึงผู้ใช้ที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านเทคนิคก็สามารถใช้ได้

การโจมตี Bruteforce.Generic.RDP จะพยายามค้นหาคู่ล็อกอินและรหัสผ่าน RDP ที่ถูกต้อง โดยตรวจสอบรหัสผ่านที่เป็นไปได้ทั้งหมดอย่างเป็นระบบจนกว่าจะพบรหัสผ่านที่ถูกต้อง เมื่อประสบความสำเร็จ ผู้โจมตีจะสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์โฮสต์เป้าหมายจากระยะไกลได้

ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย มีจำนวนการโจมตี RDP มากที่สุดสามลำดับแรกในภูมิภาค โดยพบความพยายามโจมตีมากกว่า 8.4 ล้านรายการ 5.7 ล้านรายการ และ 4.2 ล้านรายการ ตามลำดับ สิงคโปร์พบการโจมตีมากกว่า 1.7 ล้านรายการ ฟิลิปปินส์มากกว่า 2.2 ล้านรายการ และมาเลเซียน้อยที่สุดเพียงกว่า 1 ล้านรายการ

นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า "แม้ว่าการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซจะเป็นวิธีเก่า แต่องค์กรต่างๆ ก็ไม่ควรประมาทการโจมตีรูปแบบนี้ ภัยคุกคามนี้ยังอันตรายต่อองค์กรธุรกิจในภูมิภาคนี้ เนื่องจากองค์กรธุรกิจจำนวนมากใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอ ทำให้ผู้โจมตีประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์หลายปัจจัย (MFA) บนการเชื่อมต่อ RDP รวมถึงการตั้งค่า RDP ที่ไม่ถูกต้องยังเพิ่มโอกาสในการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซสำเร็จอีกด้วย"

นายโยวกล่าวเสริมว่า "อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเพิ่มศักยภาพการโจมตีแบบบรูทฟอร์ซ ด้วยการสร้างและทดสอบรหัสผ่านแบบอัตโนมัติ เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบจากการละเมิดเครือข่ายองค์กรนั้นร้ายแรงกว่ามาก องค์กรอาจประสบปัญหาการละเมิดข้อมูล หรือหากระบบถูกบุกรุก การดำเนินงานก็จะหยุดชะงัก เกิดผลกระทบทางการเงินอย่างมาก เนื่องจากองค์กรต้องเผชิญกับต้นทุนจากการหยุดดำเนินงาน ความพยายามในการกู้คืนข้อมูล และค่าปรับจากหน่วยงานกำกับดูแล"

แคสเปอร์สกี้ขอแนะนำมาตรการเพื่อปกป้ององค์กรอย่างเหมาะสมดังนี้

  • ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่งและไม่ซ้ำกัน อย่าใช้รหัสผ่านซ้ำในการเข้าเว็บไซต์ บัญชีโซเชียลมีเดีย หรือบัญชีการเงินหลายๆ แห่ง ควรเลือกใช้แอปช่วยจัดการรหัสผ่าน (password manager) ช่วยสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่งและไม่ซ้ำกัน
  • ใช้การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย (2FA) และพิจารณาใช้เครื่องมืออย่างเช่น แอปตรวจสอบสิทธิ์ (authenticator app)
  • ไม่เปิดเผยบริการเดสก์ท็อป / การจัดการระยะไกล (เช่น RDP, MSSQL เป็นต้น) ให้กับเครือข่ายสาธารณะ เว้นแต่จำเป็นจริงๆ และควรใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย และกฎไฟร์วอลล์สำหรับบริการต่างๆ เสมอ
  • ตรวจสอบการเข้าถึงและกิจกรรมในเครือข่ายเพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติ ควบคุมการเข้าถึงของผู้ใช้ตามความจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงของการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อมูลรั่วไหล
  • จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC) โดยใช้เครื่องมือ SIEM (security information and event management) สำหรับตรวจสอบและวิเคราะห์เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของข้อมูล และโซลูชัน XDR ซึ่งเป็นโซลูชันที่ป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนได้
  • ใช้ข้อมูลภัยคุกคามล่าสุด (Threat Intelligence) เพื่อรู้จักภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่กำหนดเป้าหมายโจมตีองค์กรได้อย่างเจาะลึก และให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน InfoSec ใช้ข้อมูลภัยคุกคามเชิงลึก เพื่อจับตาดูภัยคุกคามไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่องค์กร และแสดงข้อมูลที่ครอบคลุมและอัปเดตเป็นปัจจุบันที่สุดเกี่ยวกับผู้ประสงค์ร้ายและ TTP
  • หากบริษัทไม่มีฟังก์ชันความปลอดภัยไอทีโดยเฉพาะ และมีเฉพาะผู้ดูแลระบบไอทีทั่วไปที่อาจขาดทักษะเฉพาะทางที่จำเป็นในการตรวจจับและการตอบสนองระดับผู้เชี่ยวชาญ ให้พิจารณาใช้บริการที่มีผู้เชียวชาญจัดการให้ (Managed Detection and Response) ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยได้ทันทีในระดับที่สูงขึ้น และช่วยให้องค์กรธุรกิจมุ่งเน้นการสร้างความเชี่ยวชาญภายในองค์กรได้
  • สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก แนะนำให้ใช้โซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการความปลอดภัยไซเบอร์แม้ว่าจะไม่มีผู้ดูแลระบบไอทีก็ตาม อีกทั้งยังช่วยองค์กรธุรกิจประหยัดงบประมาณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาธุรกิจ

  • เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ