ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในงานแถลงข่าวโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘เวลา ๑๕.๐๐ น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยมีคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ผู้แทนหน่วยงานภาคีเครือข่าย ผู้ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนฯ ศิลปิน และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน
หลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประธานกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ภาคีเครือข่ายและศิลปินได้เดินชมนิทรรศการการประกวดจิตรกรรมยูโอบี ครั้งที่ ๑๕ ของธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และนิทรรศการการจัดแสดงผลงานของผู้ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งทั้งสองนิทรรศการจัดแสดงระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๘ เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ทั้งนี้ กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของศิลปินและองค์กรทางศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยและดำเนินงานก้าวเข้าสู่ปีที่ ๘ โดยตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๘ ได้ให้การส่งเสริมโครงการไปแล้วรวมทั้งสิ้น ๒๗๕ โครงการ งบประมาณรวมกว่า ๘๗ ล้านบาท โดยในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยรอบแรก รวมเป็นเงินกว่า ๔๔ ล้านบาท จำนวน ๑๑๓ โครงการ ครอบคลุม ๘ สาขา ได้แก่ ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง ดนตรี วรรณศิลป์ สถาปัตยกรรม เรขศิลป์ ภาพยนตร์ และออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งกองทุนฯมุ่งส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยไทย สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปิน เปิดโอกาสให้ศิลปินไทยทั่วประเทศทั้งศิลปินรุ่นใหม่และศิลปินในท้องถิ่น โดยเฉพาะระดับชุมชนได้พัฒนาตัวเองด้านศิลปวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์และผู้รักงานศิลปะได้พัฒนาต่อยอดผลงาน เพื่อเป็น Soft Power ที่สามารถสร้างการเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำ Soft Power ของโลกในอนาคตตามนโยบายของรัฐบาล