ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่พุ่งสูงจนหลายพื้นที่กลายเป็นพื้นที่สีแดง ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ แต่ยังรวมถึงจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ ฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในหลายด้าน และหนึ่งในอาการที่กำลังเป็นปัญหามากในตอนนี้นั่นก็คือ "ภาวะเลือดกำเดาไหล"
PM2.5 ทำอันตรายต่อสุขภาพได้อย่างไร?ฝุ่น PM2.5 ไม่เพียงทำลายระบบทางเดินหายใจและสมอง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็งปอด ปอดติดเชื้อ โรคหอบหืดกำเริบ รวมถึงกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้และโพรงจมูกอักเสบ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าฝุ่น PM2.5 มีความสัมพันธ์กับการเกิดเลือดกำเดาไหลโดยตรง
ต้องได้รับฝุ่นเยอะขนาดไหน เลือดกำเดาถึงไหล?ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีขนาดเล็กมาก สามารถเข้าสู่โพรงจมูกได้โดยง่าย ส่งผลให้เยื่อบุโพรงจมูกเกิดการอักเสบ เส้นเลือดฝอยบริเวณดังกล่าวจึงเปราะบางและแตกได้ง่าย จนทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับฝุ่น PM2.5 ในปริมาณสูงหรือแม้ได้รับฝุ่นในปริมาณไม่มากก็อาจกระตุ้นอาการได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีความไวต่อมลพิษสูง รวมถึงผู้สูงอายุ คนท้อง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะนี้สูงเช่นกัน
วิธีป้องกันและดูแลสุขภาพเบื้องต้น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง
- สวมหน้ากากอนามัย N95 หากต้องออกนอกบ้าน เพราะมีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นดีกว่าแมสก์ทั่วไป
- หากมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อยในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรับคำแนะนำในการดูแลอย่างเหมาะสม
การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมและการป้องกันที่ถูกต้องสามารถลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญอย่าลืมติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 อย่างใกล้ชิด พร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณและคนที่คุณรัก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมCall Center 1512Line Official : @ramhospital