ผู้บริหาร LEO นำโดย "เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทฯ ผนึกกำลังซื้อหุ้นเข้าพอร์ตรวมกว่า 8.46 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 2.65% จากผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของบริษัท ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และผู้ถือหุ้น สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการบริหารงาน เดินหน้าผลักดันการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) รายงานว่า จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ระบุว่า บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ขอแจ้งการซื้อขายหุ้นของ LEO ตามที่ได้ปรากฏในรายการซื้อขายหุ้น LEO ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 8,469,700 หุ้น หรือคิดเป็น 2.65% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ LEO โดยรายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นโดยนายวิเศษ สิทธิสุนทรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO (ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ)
ทั้งนี้ LEO ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ LEO ว่า การขายหุ้นใน LEO ครั้งนี้ เป็นการเสนอขายให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทและปัจจุบันเป็นคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัท และกลุ่มคณะกรรมการของบริษัทท่านอื่นๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- 1.1 นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ จำนวน 1,269,700 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.40 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
- 1.2 นางสาวศรีไพร เอกวิจิตร์ จำนวน 1,000, 000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และนายเมธา เอกวิจิตร์ (พี่ชายของ นางสาวศรีไพร เอกวิจิตร์) จำนวน 1,0000,0000 หุ้นหรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
- 2.1 นายเสนีย์ แดงวัง จำนวน 1,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.31 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
- 2.2 นายธีระชัย เชมนะสิริ จำนวน 2,200,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 0.69 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
- 2.3. นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล จำนวน 2,000,000 หัน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.62 ของทันที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
โดยรายการดังกล่าวเป็นการตกลงระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อตามราคาปิดของหุ้นในวันที่ 23 มกราคม 2568 และมีส่วนลดเล็กน้อยสำหรับการซื้อบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยแก้ไขปัญหาและทำให้หุ้นไม่ได้ถูกบังคับขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม และยังเป็นความประสงค์ของผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทซึ่งต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมไว้ อีกทั้งยังการเป็นการรักษาเสถียรถาพของราคาหุ้น เนื่องจากคณะกรรมการของบริษัทต้องการถือหุ้นและลงทุนในบริษัทในระยะยาว ซึ่งจะดีกว่าการที่หุ้นจะถูกบังคับขายในตลาดและอาจตกไปอยู่กับนักลงทุนที่ไม่ได้ต้องการลงทุนบริษัทในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การขายหุ้นของ LEO ในครั้งนี้ ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของ LEO แต่อย่างใด อีกทั้ง บริษัทฯ มีจุดแข็งจากความสามารถในการปรับตัวตามแนวโน้มตลาดและความต้องการของผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO ภายใต้คอนเซ็ปต์ "LEO Go Green" สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ LEO ในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง
"ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ผมยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัทฯ และที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของ LEO ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการขนส่งโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นนำของเมืองไทย มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง การขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรชั้นนำช่วยเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง และแสดงถึงความพร้อมของบริษัทฯ ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว" นายเกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย