มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำประสบการณ์ "ปลูกป่า ปลูกคน" ผ่านตำราแม่ฟ้าหลวงมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ มาปรับแผนองค์กรใหม่ ตั้งหน่วยงาน "ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน" ตอบโจทย์สภาวะโลกในปัจจุบัน ชวนเครือข่ายภาคีทั้งรัฐและเอกชนดำเนินงานรับมือวิกฤติโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนในมิติต่างๆ ของโลกให้ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วขึ้น
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า "มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ปรับทิศทางการดำเนินงานใหม่ในปี 2568 ให้เข้ากับบริบทสังคมและยุคสมัย โดยมี 4 กลุ่มงาน คือ กลุ่มงานด้านโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างครบวงจร กลุ่มงานด้านธุรกิจเพื่อสังคม
ภายใต้แบรนด์ดอยตุง สร้างอาชีพที่มั่นคงและธุรกิจที่ยั่งยืน กลุ่มงานด้านการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) พัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่กับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และ กลุ่มงานด้านที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน
เพื่อขับเคลื่อนองค์กร โดยใช้องค์ความรู้ความชำนาญและประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ที่มีมานานถึง 36 ปี และโครงการเชิงพื้นที่ในอดีตและปัจจุบัน เข้ามาดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างพร้อมขยายการพัฒนาไปใช้ทั้งในและต่างประเทศ
"เราปักธงตำราแม่ฟ้าหลวงฯ ให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับโลก ซึ่งไม่ได้ทำแต่เรื่องของความยั่งยืนในไทยเท่านั้นแต่เป็นการนำองค์ความรู้ที่มีไปเผยแพร่ทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้หลักการทรงงานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้แพร่หลาย โดยนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทั้งเวทีระหว่างประเทศและใช้กับองค์กรต่างๆ ให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ"
อย่างไรก็ตามสำหรับ 4 กลุ่มงานมีการแบ่งบทบาทการทำงานที่ชัดเจนคือ
กลุ่มงานด้านโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างครบวงจรทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ต่างๆ ทั้งในประเทศ อาทิ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ, โครงการร้อยใจรักษ์ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่, โครงการผลิตภัณฑ์แปรรูปป่าเศรษฐกิจ จังหวัดน่าน, โครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกชาน้ำมันและพืชน้ำมันอื่นๆ เป็นต้น ส่วนโครงการในต่างประเทศ อาทิ เมียนมา อัฟกานิสถาน อินโดนีเซีย เป็นต้น
กลุ่มงานด้านธุรกิจเพื่อสังคม ภายใต้แบรนด์ดอยตุง เน้นการสร้างอาชีพที่มั่นคงและธุรกิจที่ยั่งยืนใน 5 กลุ่มธุรกิจย่อย ได้แก่ อาหารแปรรูป กาแฟและแมคคาเดเมีย หัตถกรรม คาเฟ่ดอยตุง เกษตรและท่องเที่ยว
กลุ่มงานการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมาปรับใช้กับป่าชุมชนใน พ.ศ. 2563 ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนริเริ่ม "โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ขึ้นทะเบียนเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ภาคป่าไม้ ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(องค์การมหาชน) (อบก.) โดยผลจากการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2664 จนถึงปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่ 258,186 ไร่ ร่วมกับป่าชุมชน 281 ชุมชน 11 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร อุทัยธานี กระบี่ ยโสธร อำนาจเจริญ น่าน และลำปาง ประชาชนเข้าร่วมกว่า 150,000 คน และได้รับความได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานกว่า 25 แห่ง ทั้งภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจในการพัฒนาโครงการร่วมกัน เพื่อให้คาร์บอนเครดิตเป็นกลไกให้ชุมชนดูแลป่าและดูแลตัวเองได้พร้อมๆ กัน รวมทั้งมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาคนว่างงาน และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยภาคเอกชนในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจได้ด้วย พร้อมยังช่วยลดอัตราการเกิดไฟป่าให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ลดปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 จากไฟป่า
ขณะที่ กลุ่มงานด้านที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ที่ถือว่าเป็นนิวเอส เคิร์ฟ (new S-Curve) ที่สำคัญของมูลนิธิฯ เพื่อขยายการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างยิ่งขึ้น
"งานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนถือว่าเป็นกลุ่มงานใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา เพราะโลกทั้งโลกกำลังมองหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยโลกนี้ได้ ขณะที่แม่ฟ้าหลวงฯ มีโซลูชันบางส่วนที่สามารถตอบโจทย์บางส่วนได้ถ้าธุรกิจเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ผลกระทบเชิงบวกจะกว้างมากขึ้นเหมือนการพัฒนาโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งเป็นโมเดลสำคัญ 100 ดอยตุง เราอยู่ในโลกที่ไม่มีเวลาแล้ว ดังนั้นวันนี้ต้องทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการให้เร็วที่สุด"
ทั้งนี้ กลุ่มงานด้านที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน จะเป็นการนำองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนมาแบ่งปันให้กับภาคเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆ ให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (last mile implementation solution) ผ่านการเป็นที่ปรึกษาเชิงปฏิบัติการ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผ่านการวางแผนและทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ การทำระบบ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือ การเรียกคืนบรรจุภัณฑ์, ความหลากหลายทางชีวภาพและการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ ผ่านการประเมินและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ การปลูกป่าและฟื้นฟูป่า การจัดการน้ำ, การพัฒนาชุมชน ผ่านการทำความเข้าใจชุมชนและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การทำโครงการพัฒนาชุมชน เป็นต้น เพื่อสร้างรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงบรรเทาปัญหาของประเทศในด้านความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อแก้ไขปัญหาและเกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ด้วยโครงสร้างการจัดการใหม่นี้ มูลนิธิฯเชื่อมั่นว่า จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรต่อไปในบริบททางสังคม และสิ่งแวดล้อมปัจจุบันและ อนาคตได้อย่างยั่งยืน ด้วยจุดมุ่งหมายหลักคือการสร้างคนที่มีคุณภาพ ผ่านทุกโครงการและกิจกรรมเพื่อร่วมสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ต่อไป