ท้องฟ้าที่ควรสดใสถูกบดบังด้วยม่านฝุ่นพิษ PM2.5 ซึ่งทวีความรุนแรงจนแตะระดับ "สีม่วง" หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กำลังเผชิญกับมลพิษอากาศที่เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและชีวิตของคนไทยกว่า 10 ล้านคน
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช รองประธานคณะกรรมาธิการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคนสำคัญ ออกมาเตือนถึงผลกระทบอันร้ายแรงของ PM2.5 ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด หลอดเลือดอุดตัน สมองเสื่อม โรคหัวใจ รวมถึงปัญหาทางระบบหายใจที่แย่ลง พร้อมเสนอแนะให้ตั้ง "ศูนย์บริหารสถานการณ์ PM2.5" เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
"ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาอากาศ แต่เป็น 'วิกฤตชีวิต' ที่กระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมในวงกว้าง การจัดการที่ล่าช้าหมายถึงการเพิกเฉยต่ออนาคตของประเทศ" ร.ต.อ.วัฒนรักษ์กล่าว
7 มาตรการเร่งด่วน ช่วยลดฝุ่นพิษ PM2.5
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังวิกฤต ร.ต.อ.วัฒนรักษ์เสนอ 7 แนวทางแก้ไขที่ควรดำเนินการทันที ได้แก่
PM2.5: วิกฤตสุขภาพที่ต้องลงมือแก้ทันที
ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เพียงแค่ทำให้ท้องฟ้าหม่นหมอง แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเรา ส่งผลให้คนไทยจำนวนมากเผชิญกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตไปทุกวัน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า PM2.5 สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและทำลายอวัยวะสำคัญ เช่น ปอด หัวใจ และสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งและโรคหลอดเลือดสมอง ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า "อากาศ" ที่เราหายใจเข้าไปทุกวัน คือ "ภัยเงียบ" ที่เรามองไม่เห็น
ถึงเวลาแล้วสำหรับ 'ศูนย์บริหารสถานการณ์ PM2.5'
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์เสนอให้รัฐบาลตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์ PM2.5 (ศปก.ศบPM2.5) โดยด่วน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ รวมถึง
- ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในจังหวัดที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
- แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน พร้อมจัดโครงสร้างหน่วยงานพิเศษเพื่อทำงานอย่างเร่งด่วน
- พัฒนามาตรการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานสะอาดและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
"ฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่แค่เรื่องของวันนี้ แต่เป็นอนาคตของลูกหลานเรา การแก้ไขปัญหานี้ต้องทำทันที เพราะทุกนาทีคือชีวิตของคนไทย" ร.ต.อ.วัฒนรักษ์กล่าวปิดท้าย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "สงครามอากาศบริสุทธิ์" ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องลุกขึ้นมาร่วมมือ เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนไทยทุกคน!