ไตรมาสแรกปี 2551 บริษัทจดทะเบียนกำไรรวมกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 21, 2008 09:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 พ.ค.--ตลท.
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกำไรงวดไตรมาสแรกปี 2551 รวม 152,382 ล้านบาท และมียอดขายรวม 1,777,957 ล้านบาท กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุด คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ โดยมี PTT, PTTEP, SCC, SCB, และ PTTCH เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก
นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 ว่า บริษัทจดทะเบียน 455 บริษัท จาก 494 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance: NC) และบริษัทในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group: NPG) มีกำไรสุทธิรวม 152,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33 โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 384 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 71 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 85 ต่อ 15 ในขณะที่ยอดขายรวมเท่ากับ 1,777,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32
“ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไตรมาส 1 ปี 2551 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งกำไรสุทธิและยอดขาย เนื่องจากยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้น รวมทั้ง กำไรที่มาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น” นางนงรามกล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 128,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ส่วนบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 กำไรสุทธิรวม 118,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 40
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH)
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่าย อาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance: NC) และบริษัทในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing
Group: NPG) จำนวน 465 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 152,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 โดยผลการดำเนินงานเรียงตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดดังนี้
1.กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 52,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10
2.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 28,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 25
3.กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 17,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14
4.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 17,249 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14
5.กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 16,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 155
6.กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 13,146 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 145
7.กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 430 หรือ 4.3 เท่า
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วยหมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 1,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 34

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ