
บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) โชว์งบปี 2567 กวาดกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนมากกว่า 46% สะท้อนการบริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม ส่วนรายได้อยู่ที่ 2,701 ล้านบาท ทำผลงานได้ดีแม้ปริมาณการผลิตรถยนต์และยอดการผลิตจริงลดลง ด้านผู้บริหาร มั่นใจ ปี 68 พร้อมเดินหน้า เสริมแกร่งสายงานการผลิต ติดตั้งเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ มุ่งเน้นคุณภาพของสินค้า เตรียมความพร้อมรองรับดีมานด์จากอุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวในปีนี้ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 68 โตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน พร้อมรักษาความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง
ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG ผู้ออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ (Tooling) ครอบคลุมถึงการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์สำหรับปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Stamping Dies) อุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ (Checking Fixtures) อุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ (Assembly Jigs) และผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Automotive Press Parts) แบบ One Stop Service เปิดเผยผลการดำเนินงานของ TATG ในงวดปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 70.22 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 22.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46.02% ส่วนรายได้รวม 2,701.58 ล้านบาท
โดยรายได้หลักของบริษัทฯ เป็นรายได้ที่มาจากสัญญาที่ทำกับลูกค้าลดลง จากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งมีจำนวน 384.02 ล้านบาท คิดเป็นการปรับลดลงร้อยละ 14.84 จะเห็นว่ารายได้ของบริษัทฯ ลดลงน้อยกว่าภาพรวมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งลดลงร้อยละ 19.95 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังชะลอตัว ส่วนรายได้ธุรกิจออกแบบและผลิตเครื่องมือมีรายได้เพิ่มขึ้นจำนวน 119.07 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61.64 เกิดจากการมีคำสั่งซื้อของกลุ่มยานยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น
"ภาพรวมปี 2567 สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทฯ แม้รายได้รวมลดลง แต่มีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารจัดการที่ดี ครอบคลุมถึงการควบคุมต้นทุนขาย ต้นทุนบริการ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ" ดร.พยุง กล่าว
สำหรับก้าวต่อไปของ TATG ในปี 2568 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์โลหะและชิ้นส่วนยานยนต์ ของภูมิภาคเอเชีย โดยแบ่งสายการดำเนินงานออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ (Tooling) 10% และธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Automotive Press Parts) 80% และอื่นๆ 10% ภายหลังจาก TATG ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัทฯ ได้เร่งเสริมแกร่งสายงานการผลิต จัดซื้อเครื่องจักรและนำเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ การใช้หุ่นยนต์ในการผลิต (Robot) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเน้นคุณภาพของสินค้า การซื้อเครื่องจักรระบบอัตโนมัติขั้นสูง (CNC) เข้ามาเพิ่มเติม เพื่อรองรับการผลิตเครื่องมือที่มีความซับซ้อน สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยลดต้นทุนในการผลิต ทำให้มีการเติบโตของรายได้และมีผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความสามารถในการทำกำไร และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งคาดว่าจะสามารถชดเชยผลกระทบระยะสั้นต่ออัตราส่วนทางการเงินได้
ด้านที่ประชุมบอร์ดมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด 0.07 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 พ.ค. 2568 และกำหนดวันที่จ่ายปันผล ภายในวันที่ 28 พ.ค. 2568
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 ประเมินว่ายังคงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจและการปรับตัวลดลงของยอดขายทั้งรถยนต์สันดาป ไฮบริด และรถไฟฟ้า (EV) แต่ตลาดรถยนต์ EV ในประเทศยังมีโอกาสเติบโต โดยคาดว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การปรับลดราคา แคมเปญส่งเสริมการขาย และการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมไปสู่ยุครถยนต์พลังงานสะอาด โดย TATG ผู้นำด้านการผลิตแม่พิมพ์โลหะและชิ้นส่วนยานยนต์ครอบคลุมทุกประเภท รวมถึง EV พร้อมเดินหน้าธุรกิจเต็มกำลัง จากการมีเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเสริมศักยภาพการผลิตให้ล้ำสมัย รองรับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
"จากปัจจัยบวกในด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งยอดผลิต ยอดขายในประเทศ และยอดส่งออก จึงตั้งเป้ารายได้ปี 2568 TATG จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ควบคู่รักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดี พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว " ดร.พยุง กล่าวทิ้งท้าย