กรุงเทพฯ--21 พ.ค.--ริช เอเชีย สตีล
ผู้บริหาร RICH มั่นใจปีนี้รายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาทแน่ หลังไตรมาสแรกโชว์ผลประกอบการโดดเด่น ได้รับอานิสงส์จากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและปริมาณความต้องการก็เพิ่มตามไปด้วย หลังขยายฐานลูกค้ากว้างขึ้นและมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 90,000 ตันต่อปี หลังจากโรงงานแห่งใหม่ติดตั้งเครื่องจักรแปรรูปเสร็จและผลิตเชิงพาณิชย์ได้แล้ว
นายสมเกียรติ วงศาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ริช เอเชีย สตีล จำกัด (มหาชน)(RICH) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่าหลังจากประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1/2551 ทำให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในปีนี้คือ 10,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจาก RICH มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 90,000 ตันต่อปี (จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเท่ากับ 125,000 ตันต่อปี) หลังจากโรงงงานแห่งใหม่ติดตั้งเครื่องจักรผลิตเหล็กแปรรูปแล้วเสร็จและสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้แล้ว นอกจากนี้ฐานลูกค้าของบริษัทได้ขยายกว้างขึ้น จากศูนย์กระจายสินค้า 4 แห่ง ใน จ.สมุทรปราการ 1 แห่ง จ. สมุทรสาคร 2 แห่ง และ จ.พระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
"ไตรมาสแรก RICH สร้างผลงานได้น่าพอใจมาก และในช่วงที่เหลือของปี 2551 ก็มีแนวโน้มว่าน่าจะทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยพิจารณาจากหลายๆ ปัจจัยประกอบกันทั้งเรื่องของราคาเหล็กซึ่งคาดว่าจะไต่ระดับสูงขึ้นได้อีกซึ่งจะส่งผลดีต่อรายรับของบริษัท อีกทั้งบริษัทสามารถบริหารจัดการควบคุมความเสี่ยงเรื่องราคาเหล็กที่สูงขึ้นได้ดี ด้วยการดูแลปริมาณสินค้าคงคลังอย่างเหมาะสม ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีน่าจะมีรายได้ 10,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้"นายสมเกียรติกล่าว
นอกจากนี้ RICH ได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจโดยเพิ่มสินค้าประเภทเหล็กแปรรูปที่มีอัตรากำไรขั้นต้น(margin)สูง รวมถึงเหล็กเกรดชนิดพิเศษ ซึ่งปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 7.9-8% จากปีก่อนที่ทำได้เฉลี่ย 5-7%
สำหรับไตรมาส 1/2551 ผลการดำเนินงานของ RICH มีกำไรสุทธิ 64.21 ล้านบาท พลิกจากที่เคยขาดทุนสุทธิ 175 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2550 โดยมีสาเหตุสำคัญคือ บริษัทมีรายได้รวม 1,654.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 28.11 ประกอบด้วยรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น 330.77 ล้านบาทหรือเท่ากับร้อยละ 25.76 มีผลจากราคาจำหน่ายสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.17 รวมถึงรายได้อื่นที่ได้รับจากการรับชำระหนี้จากผู้บริหารแทนลูกหนี้การค้าจำนวน 20.66 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 9.23 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 707.82 และรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.66
ต้นทุนขายเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับยอดขายเช่นเดียวกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.01 โดยมีผลมาจากราคาวัตถุดิบเฉลี่ยปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 26.71 ซึ่งเป็นการปรับตัวตามราคาตลาดโลกและตลาดภายในประเทศ
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.61 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายยานพาหนะ และค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้นตามรายได้จากการจำหน่ายสินค้า ผลขาดทุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อค้าจำนวน 18.23 ล้านบาท เป็นผลมาจากมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้มีการปรับตัวลงอย่างมาก ทำให้บริษัทต้องจำหน่ายเงินลงทุนดังกล่าวออกไป ส่วนค่าใช้จ่ายที่ลดลงประกอบด้วยหนี้สงสัยจะสูญ ลดลงจำนวน 180.07ล้านบาท ซึ่งบริษัทมิได้มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในไตรมาสนี้
สำหรับดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น 16.49 ล้านบาท เนื่องจากการกู้ยืมเงินระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนทางการค้าเพิ่มขึ้นตามยอดขายและต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น ผลจากการที่บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ผลกำไรสุทธิของบริษัทประจำงวดเท่ากับ 64.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 136.62% เมื่อเทียบกับผลประกอบการงวดเดียวกับในปีก่อน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :คุณปภาดา สุวรรณกูฎ (ตุ้ย) โทร. 02-554-9394 , 085-133-0184