
นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ (สนพ.) กทม. กล่าวถึงการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคฝีดาษวานร และโรคไวรัสตับอักเสบ B และ C ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามแนวทางการป้องกันควบคุม 4 โรคติดต่อที่สำคัญที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติกำหนดว่า สนพ. ได้เตรียมพร้อมมาตรการเฝ้าระวังและจัดทำแนวทางการดำเนินงานควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคฝีดาษวานร และโรคไวรัสตับอักเสบ B และ C ในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้ทุกโรงพยาบาลในสังกัดเฝ้าระวัง ควบคุมการแพร่ระบาด ดำเนินการวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้องตามแนวทางการรักษาของโรค และจัดการสำรองยาให้เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งแนะนำประชาขนเข้ารับบริการตรวจสุขภาพฟรีและฉีดวัคซีนตามความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ BKK WELLNESS CLINIC โรงพยาบาลในสังกัดทั้ง 11 แห่ง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
ขณะเดียวกันได้ออกมาตรการการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกตามแนวทางต่าง ๆ ทั้งการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในโรงพยาบาลและชุมชนโดยรอบ ให้ความรู้เรื่องการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย การป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด และอาการป่วยที่ต้องพบแพทย์ให้กับผู้ที่มารับบริการในโรงพยาบาลและชุมชนโดยรอบโรงพยาบาล สื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพให้กับประชาชนผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและเพิ่มความตระหนักด้านสุขภาพ วินิจฉัยและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสซิกา โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิคุนกุนยา) และโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ รวมถึงการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยจากศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.
สำหรับแนวทางการป้องกันโรคฝีดาษลิงและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ สนพ. ได้รณรงค์เน้นย้ำสนับสนุนส่งเสริมให้ความรู้และคำแนะนำประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันตนเอง ไม่ใกล้ชิดกับผู้อื่นนอกบ้าน ไม่แบ่งของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย หมั่นสังเกตอาการเจ็บป่วยของบุคคลใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวัง คัดกรอง แยกกักรักษาผู้ป่วย สื่อสารถึงประชาชนกลุ่มเสี่ยงปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เน้นย้ำข้อควรปฏิบัติเมื่อพบอาการเข้าข่ายโรค โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว หรือย่านพักอาศัยของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม แม้การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อดังกล่าวได้ แต่การฉีดวัคซีนดังกล่าวควรทำเฉพาะในบุคคลที่ต้องทำงานมีความเสี่ยง หรือใกล้ชิดกับคน หรือสัตว์ที่ติดเชื้อเท่านั้น และวัคซีนยังสามารถรับได้ภายหลังการได้รับเชื้อไม่เกิน 14 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันทีได้ที่ "คลินิกสุขภาพเพศหลากหลาย กทม." ทั้ง 31 แห่ง หรือพบแพทย์ผ่านทางแอปพลิเคชัน Telemedicine หรือ "หมอ กทม." เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการอย่างรวดเร็ว ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนสุขภาพ สนพ. กทม. โทร. 1646 บริการตลอด 24 ชั่วโมง
นางภาวิณี รุ่งทนต์กิจ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวว่า สนอ. ได้ประสานความร่วมมือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคฝีดาษวานร และโรคไวรัสตับอักเสบ B และ C อย่างต่อเนื่อง โดยมีระบบตรวจจับการแพร่ระบาด มีทีมสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance and Rapid Response Team, SRRT) ของศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง และสำนักงานโรคติดต่อทางสาธารณสุข รวมถึงเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข วัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ แผนปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อรองรับการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างรวดเร็วและทั่วถึง
นอกจากนี้ ได้ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนทั้งสื่อประชาสัมพันธ์และสื่อออนไลน์ โดยแนะนำการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยง ให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในทุกช่องทางการสื่อสาร พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ให้แก่ประชาชนในการดูแลสุขลักษณะและจัดการสิ่งแวดล้อม ทั้งบริเวณบ้านพักอาศัย สถานศึกษา ศาสนสถาน และภายในชุมชน ไม่ให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย รวมถึงวิธีป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัด และการสังเกตอาการของโรคไข้เลือดออก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากโรคไข้เลือดออกและโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ ส่วนโรคฝีดาษวานร สนอ. ได้สนับสนุนความร่วมมือส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน ทั้งลักษณะการแพร่เชื้อ การสังเกตอาการของโรค และวิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคฝีดาษวานรผ่านช่องทางและแฟลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพื่อช่วยป้องกันโรคฝีดาษวานรและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ควบคู่กับการดูแลรักษาสุขภาพ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคติดต่อและภัยสุขภาพต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง