
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตรียม ผลักดันมาตรการควบคุม ป้องกัน และเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉิน กรณีก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หวั่นเกิดเหตุช่วงอากาศร้อน เพื่อดูแลและป้องกันสุขภาพผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน และประชาชนบริเวณโดนรอบ
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลกรมอุตินิยมวิทยาแจ้งประกาศประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ โดยอุณหภูมิสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา อุณหภูมิสูงสุดวัดได้ 44.2 องศาเซลเซียส ซึ่งปกติช่วงหน้าร้อนร้านค้าและประชาชนจะมีความต้องการบริโภคน้ำแข็งมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตน้ำแข็งให้ทันต่อความต้องการ และมักเกิดเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล จากสถานประกอบกิจการประเภทการผลิตน้ำแข็ง และส่งผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยโดยรอบ กรมอนามัย จึงเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยมอบหมายให้ทีมปฏิบัติการอนามัยสิ่งแวดล้อม หรือทีม SEhRT ของศูนย์อนามัยประสานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบ ควบคุม กำกับ และบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขในระดับพื้นที่ ดำเนินการตามมาตรการควบคุม ป้องกันภาวะฉุกเฉินจากก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการประเภทผลิตน้ำแข็ง ลดความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน
ด้าน นายแพทย์ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า มาตรการควบคุม ป้องกัน และเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉิน กรณีก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้อนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทการผลิตน้ำแข็ง มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการทุกแห่ง เพื่อปฏิบัติตามมาตรการ 1) ตรวจตรา ควบคุม กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนเป็นประจำทุกวัน โดยให้เฝ้าระวังเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตน้ำแข็งให้อยู่ในสภาพดี ไม่มีชำรุด เสียหาย หากพบความผิดปกติต้องเร่งให้มีการดูแล ซ่อมแซม ปรับปรุง สภาพให้ใช้งานได้ปกติ ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบการรายงานผลการตรวจตราระบบไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบอย่างต่อเนื่อง 2) ตรวจสอบระบบเส้นท่อส่งก๊าซแอมโมเนีย ถังบรรจุก๊าซ ตลอดจนอุปกรณ์ ระบบไฟฟ้า ระบบตรวจวัดแรงดันที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ โดยต้องอยู่ในสภาพดี ไม่มีการชำรุด แตกร้าว หรือมีความผิดปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหลของก๊าซแอมโมเนีย 3) ประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบระบบความปลอดภัย ของสถานประกอบกิจการ ให้มีประสิทธิภาพ เช่น ประสิทธิภาพของระบบดับเพลิง วันหมดอายุถังดับเพลิง และระบบเตือนภัยสำหรับพนักงานกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น 4) ตรวจสอบระบบบำบัดน้ำเสียของสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็งให้มีการดำเนินการได้ตามปกติ และมีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสีย และมีคุณภาพน้ำทิ้งให้เป็นไปตามมาตรฐาน รองรับการเกิดภาวะฉุกเฉินจากเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล จัดทำแผนและทำการซ้อมแผนสำหรับพนักงานของสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง รองรับกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินจากก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล โดยให้ส่งแผนรับมือภาวะฉุกเฉินอาจเพิ่มความถี่ในการซ้อมแผน โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนและมีการเร่งผลิตน้ำแข็งที่มากขึ้นกว่าปกติ โดยมีการซ้อมการอพยพ แจ้งเตือนภัยภายในสถานประกอบกิจการและเตือนภัยประชาชนโดยรอบ
"สำหรับ ทีม SEhRT ของศูนย์อนามัยที่ 1 - 12 และสถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง เตรียมความพร้อมของทีมปฏิบัติการ โดยให้นำแนวทางการปฏิบัติงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม กรณีภาวะฉุกเฉินจากการรั่วไหล ระเบิด และเกิดเพลิงไหม้ของสารเคมี ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ และจัดเตรียมเครื่องมือตรวจวัด วัสดุ อุปกรณ์ ชุดทดสอบภาคสนามสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในกรณีเกิดเหตุภาวะฉุกเฉินก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง ดังรายละเอียดเอกสารแนบ ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ" รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว