"ไตเสื่อม" ไม่แสดงอาการ... แต่ผลลัพธ์ร้ายแรง แพทย์เตือน!!! คนไทยควรดูแล "ไต" ให้แข็งแรง ก่อนสายเกินไป

ข่าวทั่วไป Wednesday March 19, 2025 13:15 —ThaiPR.net

"ไต" อวัยวะเล็กๆ ที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในร่างกาย ทำหน้าที่ขจัดของเสีย ควบคุมสมดุลน้ำ เกลือแร่ และความดันโลหิต หากปล่อยให้ "ไตเสื่อม" โดยไม่รู้ตัว ผลลัพธ์อาจร้ายแรงจนส่งผลต่อชีวิตในระยะยาว ข้อมูลทางการแพทย์เผยว่า คนไทยกว่า 17.6% กำลังเผชิญกับโรคไตเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว และในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคไตยังเป็นสาเหตุอันดับ 6 ของการเสียชีวิตทั่วโลกและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

พญ.ชโลธร แต้ศิลปสาธิต อายุรแพทย์โรคไตจากโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า "ไตเสื่อม" เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนไม่รู้มาก่อน เนื่องจากในระยะแรกอาจไม่มีอาการใดๆ แต่อาจกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตในอนาคต ไตมีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียและควบคุมสมดุลต่างๆ เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำในร่างกาย หากไตเสื่อมโดยไม่รู้ตัว อาจนำไปสู่ "โรคไตวายเรื้อรัง" ซึ่งต้องการการฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไต

สถานการณ์ "โรคไต" ในประเทศไทยน่าเป็นห่วง ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกที่มีอัตราผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังสูงที่สุด ขณะนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังขึ้นทะเบียนถึง 11.6 ล้านคน และเกือบ 90,000 คนต้องฟอกเลือดทุกปี

โดยสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังในไทย ได้แก่

  • โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุม
  • โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแล
  • การใช้ยาไม่เหมาะสม เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาสมุนไพรไทยและจีน, ยาชุด ยาลูกกลอน, ยาปฏิชีวนะที่ใช้ผิดวิธี
  • โรคทางเดินปัสสาวะอุดตัน เช่น นิ่ว เนื้องอก ต่อมลูกหมากโต
  • โรคไตอักเสบจากโรคภูมิคุ้มกัน เช่น SLE
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น โรคซีสต์ที่ไต
  • พญ.ชโลธร กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณของโรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะตามค่า eGFR โดยในระยะ 1-3 มักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต อาการจะเริ่มชัดเจนในระยะที่ 4-5 เช่น ปัสสาวะออกน้อย ขาบวม หนังตาบวม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน โลหิตจาง เมื่ออายุเกิน 30 ปี อัตราการทำงานของไตจะค่อยๆลดลงทุกปีเป็นปกติ แต่ถ้ามีโรคประจำตัวบางอย่างที่ส่งผลต่อไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อาจทำให้การทำงานของไตลดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ โดยอาจเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป

    สำหรับวิธีการรักษาโรคไตในปัจจุบันมี 3 วิธีหลักคือ

  • การฟอกเลือด (Hemodialysis) ทำที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ฟอกไต 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 4 ชั่วโมง
  • การฟอกไตทางหน้าท้อง (Peritoneal Dialysis) ทำที่บ้านได้ แต่ต้องดูแลความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) โดยการบริจาคจากญาติหรือผ่านศูนย์บริจาคอวัยวะ มีคุณภาพชีวิตดีกว่าการฟอกไตและอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าวิธีอื่น
  • พญ.ชโลธร กล่าวสรุปว่า "การป้องกันโรคไตเริ่มต้นจากการดูแลตัวเองง่ายๆ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารเค็ม (โซเดียมเกิน 2 กรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือแกงเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดประเภท NSAIDs, ยาสมุนไพรไทยและจีน, ยาชุดที่มีผลต่อไต
  • หยุดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ การสูบบุหรี่ การดื่มน้ำน้อย และการกินอาหารแปรรูป
  • สำหรับผู้ป่วยโรคไตอยู่แล้ว ควรควบคุมโรคต้นเหตุ เช่น เบาหวาน ความดันสูง กินยาตามแพทย์สั่งและจำกัดอาหารที่มีโซเดียม และฟอสฟอรัส

    การดูแลไตไม่ใช่เรื่องที่สามารถมองข้ามได้ ควรเริ่มต้นดูแลตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป เพื่อรักษาสุขภาพไตในระยะยาว"


    เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ