กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--เจเอสแอล
ผู้ชมทางบ้านคงเริ่มคุ้นเคยกับ “ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์” หนึ่งในพิธีกรคู่ใหม่ของรายการ “เจาะใจ” กันมากขึ้นแล้ว ด้วยผ่านเลยมาถึง 8 เดือน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมไม่อาจรู้ คือ การที่เขาจะต้องรับผิดชอบในการนำเงินเข้าประเทศอย่างน้อย 65,000 ล้านบาท จากคนต่างชาติที่ต้องเชิญชวนเข้าไทย 800,000 คน และอาจไม่รู้ว่าแท้จริงเขาอยากเป็นนักประดิษฐ์ และหากมองดูชีวิตโดยภาพรวมของเขาขณะนี้ก็จะเห็นแต่ความสมบูรณ์แบบทั้งหมด ทั้งการงานอันมั่นคง ชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ครอบครัวอันอบอุ่น ซึ่งทุกสิ่งเหล่านี้เกิดจากการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและการตัดสินใจด้วยสมองและหัวใจของเขา...
ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เปิดใจให้ “สุริวิภา” เจาะว่า “ผมเติบโตมาท่ามกลางตำรวจ คุณพ่อคุณอาเป็นตำรวจ แต่ผมอยากเป็นนักประดิษฐ์ คิดค้น ตั้งแต่เด็กเคยสร้างเครื่องไล่ยุงแต่ก็ไม่สำเร็จ โตขึ้นจึง วางแผนเลือกเรียนวิศวะฯ เป็นวิศวะไฟฟ้าสื่อสารที่จุฬาฯ แล้วไปต่อปริญญาโทด้านการบริหารจัดการวิศวะ ที่จอร์เจียอเมริกา จากนั้นกลับมาทำงาน 2 ปีที่ AIS แล้วจึงกลับไปเรียน MBA ที่ MIT หรือ Massachusetts Institute of Technology ที่บอสตัน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวิศวะกรรม นวัตกรรมใหม่ๆมากที่สุด การที่ผมเปลี่ยนสายไปเรียนด้านบริหารธุรกิจเพราะผมวางแผนไว้ว่า ต่อไปอยากทำธุรกิจของตัวเองจึงต้องเรียนรู้ระบบการบริหารไว้ พอดีช่วงก่อนจบมีการทาบทามสัมภาษณ์ทำงานกับบริษัทที่โน่น ซึ่งโชคดีว่าได้กลับมาทำงานแถบประเทศภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์การบริหาร ผมได้ทำงานในช่วงปี 2541 หลังภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกพอดี งานส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กร ได้ทำงานควบคู่กับ CEO และผู้ที่มีประสบการณ์มากมาย แต่ต้องเดินทางบ่อยมาก เลยออกมาทำที่ True โชคดีที่ทำงานด้านบริหารมาตำแหน่งที่ได้จึงเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ ที่ True ก็ได้ทำสิ่งประดิษฐ์ในรูปแบบผลิตภัณฑ์บริการ เช่นการทำอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
จากนั้นทำอยู่ 8 ปี ก็มีคนมาทาบทามให้ไปสัมภาษณ์เพื่อรับตำแหน่งผู้อำนวยการ สสปน. หรือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐที่มีความสำคัญมาก ตอนนั้นผมอายุ 35 ก็ถามตัวเองว่าถึงเวลาของเราหรือยังที่จะก้าวเข้ามาทำงานรับใช้ชาติ เพราะใจเราอยู่กับครอบครัว ข้าราชการมาตลอด ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งของผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า ชีวิตคนเราอาจจะมีโอกาสก้าวครั้งใหญ่ๆเพียงครั้งเดียว ขอให้เราทำสิ่งที่ฝันนั้นทันทีแล้วลุยกับมันให้เต็มที่ ผมก็ถือเป็นจังหวะดีโอกาสดี ที่จะได้ทำงานอันท้าทายและได้รับใช้ชาติด้วย ยอมรับว่าค่อนข้างกดดันมากในแง่อุตสาหกรรมใหม่ที่ผมต้องเรียนรู้ และเป็นองค์กรของรัฐซึ่งถือเป็นแกนสำคัญของอุตสาหกรรมที่ภาคเอกชนต้องมาพึ่งพา แต่โชคดีเรามีทีมงานที่มีประสบการณ์และมากความสามารถ
งานหลักๆของ สสปน. คือ หนึ่ง-การดึงคนที่ไมใช่นักท่องเที่ยว แต่เป็นนักลงทุน หรือนัก อุตสาหกรรมต่างๆ ให้เข้ามาจัดงานหรือร่วมงานนิทรรศการ การประชุมใหญ่ๆ ให้ได้มากที่สุด เป้าหมายของเราคือ 800,000 คน ซึ่งจะทำให้ไทยเรามีรายได้อย่างน้อย 65,000 ล้านบาท สสปน.ก็จะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเสนอตัวเชิญชวนให้เขาเข้ามา ซึ่งเราก็มีคู่แข่งต่างชาติที่แข็งแกร่งอย่างจีน สิงคโปร์ ที่ได้เปรียบเราเรื่องภาษา แต่เวลาที่ประชุมสรุปเลือกประเทศไทย ทุกคนจะลุกขึ้นตบมือให้อย้างมีความสุข เพราะเรายังคงเป็นเจ้าภาพที่ดีจากใจ รอยยิ้มสยามของเรายังขายได้ครับ และหน้าที่ต่อไปคือ การประชาสัมพันธ์ประเทศ และ ยกมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย”
นอกจากนั้น “สุริวิภา” ยังเจาะลึกถึงการตัดสินใจรับหน้าที่พิธีกร “เจาะใจ” ซึ่งรายการ โทรทัศน์หนึ่งในดวงใจของเขาด้วย และเขายังนำสุนัขตัวโปรด “น้องไทเกอร์” มาโชว์ตัวในรายการ และเขาก็ยังวางแผนให้สุนัขอย่างเสร็จสรรพ “ผมชอบสุนัขพันธุ์บ็อกเซอร์มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ชอบดูเวลาที่มีการแสดงสุนัขกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ลอดบ่วงไฟ แล้วสุนัขบ็อกเซอร์เขามีกล้ามเนื้อเยอะ หน้าตาย่นๆ ไม่หล่อมากแต่ดูน่ารัก ผมวางแผนตั้งแต่เอาไทเกอร์ออกจากคอกตอน 2 เดือน ให้เข้าร่วมฝึกกับมูลนิธิสุนัขกู้ภัยแห่งชาติ ผมวางเป้าหมายให้เขาว่าอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต เขาจะมีโอกาสได้ช่วยชีวิตคน”
ซึ่งงานนี้ คุณพ่อพลตำรวจเอกสวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ คุณหญิงคัทรียา และ แอ้-ภรรยาสาวคนสวย ก็มาร่วมเชียร์ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดด้วย
ติดตามชมได้ใน “สุริวิภา” ศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม สี่ทุ่ม ทางโมเดิร์นไนท์ทีวี