กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--กยศ.
นายธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินสำหรับนักศึกษาผู้กู้รายใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 2 — 4 ว่า “กองทุนฯ ได้มอบหมายให้สถานศึกษาส่งรายชื่อนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ขึ้นไปในปีการศึกษา 2551 นี้ ที่มีความจำเป็นและประสงค์จะเป็นผู้กู้รายใหม่ สามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินกองทุนฯ โดยให้สถานศึกษาเป็นผู้พิจารณารายชื่อและแจ้งมายังกองทุนฯ ตามความจำเป็น เนื่องจากมีนโยบายที่ต้องการให้สถานศึกษาดำเนินการจัดสรรเงินกู้ยืมให้แก่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ให้เพียงพอเสียก่อน หากนักศึกษาชั้นปีอื่นๆ มีความต้องการและจำเป็น ก็จะพิจารณาเป็นลำดับถัดไป การให้กู้ยืมเงิน กยศ. ดังกล่าว กองทุนฯ ได้กำหนดเพดานการให้กู้ยืมต่อปีของแต่ละระดับการศึกษา ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้กู้ยืมค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา 14,000 บาท ให้กู้ยืมค่าครองชีพ 12,000 บาท ในระดับ ปวช. ให้กู้ยืมค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา 21,000 บาท ให้กู้ยืมค่าครองชีพ 14,000 บาท ส่วนในระดับ ปวท./ปวส. ให้กู้ยืมค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา 25,000 — 30,000 บาท ให้กู้ยืมค่าครองชีพ 24,000 บาท และในระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรี ให้กู้ยืมค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา 60,000 — 150,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับกลุ่มสาขาวิชาที่เรียน โดยให้กู้ยืมค่าครองชีพ 24,000 บาท
สำหรับการกู้ยืมเงินกองทุน กรอ. ได้เปิดให้กู้ยืมตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยให้นักศึกษาระดับ ปวส. อนุปริญญา และปริญญาตรีที่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 ยื่นคำขอกู้ผ่านทางมหาวิทยาลัย ซึ่งมีสาขาวิชาต่างๆ มากกว่า 150 สาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ โดยสามารถดูรายละเอียดประกาศรายชื่อสาขาวิชาที่ให้กู้ยืม รวมถึงดาวน์โหลดแบบคำขอกู้ กรอ. ได้จากเว็บไซต์ www.studentloan.or.th และให้นิสิต นักศึกษายื่นเอกสารแบบคำขอกู้ยืมพร้อมหลักฐานประกอบการพิจารณาได้ที่ฝ่ายที่ดูแลงานกองทุนฯ ของสถานศึกษา ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ทั้งนี้ กองทุนฯ ได้ประมาณการจำนวนผู้กู้และงบประมาณในปีการศึกษา 2551 ไว้สำหรับผู้กู้ยืมกองทุน กยศ. จำนวน 840,000 ราย เป็นเงิน 35,000 ล้านบาท และสำหรับผู้กู้ยืมกองทุน กรอ. จำนวน 75,000 ราย เป็นเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท
ในปัจจุบันมีผู้กู้ยืมที่จบการศึกษาและครบกำหนดชำระหนี้ รวมจำนวนกว่า 1.7 ล้านคน คิดเป็นเงินที่ต้องชำระกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในวันที่ 5 กรกฎาคม นี้เป็นวันครบกำหนดชำระเงินคืน จึงขอแจ้งถึงผู้ที่ครบกำหนดชำระเงินคืนทุกรุ่น ให้รีบไปติดต่อชำระคืนเงินก่อนวันดังกล่าวได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เพื่อป้องกันการเสียเบี้ยปรับถึงร้อยละ 12 - 18 ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1 ซึ่งให้ระยะเวลาการผ่อนชำระ 15 ปี สำหรับกรณีผู้ค้างชำระหนี้ที่ยังไม่พร้อมชำระเงินคืนก็ให้ไปติดต่อขอผ่อนผันเพื่อป้องกันการถูกฟ้องคดี โดยเงินที่ได้รับชำระคืนนั้น จะนำไปหมุนเวียนให้ผู้กู้รุ่นต่อไปมีโอกาสได้กู้ยืมมากขึ้น ผู้กู้และผู้ที่สนใจจะกู้ยืมสามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.studentloan.or.th หรือสอบถามได้ที่โทร. 02-610-4888 หรือ 02-208-8699” นายธาดา กล่าวในที่สุด