กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--บ้านพีอาร์
หุ้นบริษัทพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้เป็นวันแรก เปิดตลาดยืนเท่าราคาจอง 3.10 บาท ผู้บริหารมั่นใจปัจจัยพื้นฐานและนักลงทุนที่ให้การตอบรับ หนุนหุ้นได้รับความสนใจ ลั่นเดินหน้าตามแผนธุรกิจ มั่นใจปีนี้เติบโต 10%
ดร.สมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PM เปิดเผยว่า หุ้นของบริษัทฯ จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 27 พ.ค.51 เป็นวันแรก ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า PM สำหรับราคาที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) หุ้นละ 3.10 บาท เป็นราคาที่ให้ส่วนลดแก่นักลงทุนประมาณ 20-25% โดย P/E ของหุ้นอยู่ที่ประมาณ 8 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรปี 51 ขณะที่ P/E หุ้นในกลุ่มอาหาร เฉลี่ยอยู่ที่ 11 เท่า หุ้นสามัญที่เสนอขายให้แก่ประชาทั่วไปมีจำนวน 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 150 ล้านหุ้นและเป็นหุ้นสามัญเดิมของบริษัท พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมนำมาเสนอขายจำนวน 65 ล้านหุ้น ทำให้หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ จำกัด จะลดลงเหลือ 1.5% โดยบริษัท พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล จะถือหุ้น 65.4% และประชาชนทั่วไปจะถือหุ้นสัดส่วน 33% จากทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว 650 ล้านบาท
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะนำไปชำระหนี้เงินกู้ยืมส่วนหนึ่งและที่เหลือจะสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ลดลงมาอยู่ที่ 1:1 เท่า และนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ได้รับไปล้างขาดทุนสะสม
“บริษัทฯ จะมุ่งหน้าเดินตามแผนงานที่แจ้งไว้ ทั้งการขยายธุรกิจและการล้างขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ที่มีอยู่ เพื่อสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ในปีหน้า” ดร.สมชาย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง เป็นผู้นำธุรกิจจัดจำหน่ายและตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย ได้แก่ 1) ขนมขบเคี้ยว 2) อาหาร/เครื่องดื่ม 3) ลูกอม 4) ยาและอาหารเสริม และ 5) ของใช้ส่วนตัวและของใช้ในครัวเรือน บริษัทยังทำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร
ภายใต้บริษัทย่อยซึ่งมีการผลิตปลาสวรรค์ทาโร (มีส่วนแบ่งตลาดถึง 68.5%) ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก และอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง รวมทั้งมีการกระจายสินค้าเข้าสู่ร้านค้ากว่า 3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ด้านผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยงวดไตรมาส 1 ปี 2551 มีกำไรสุทธิจำนวน 123.52 ล้านบาท ซึ่งได้รวมกำไรจากการได้รับลดหนี้จำนวน 84.99 ล้านบาทของบริษัทย่อย ในส่วนของงบเฉพาะบริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 34.77 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่สูงกว่าความคาดหมาย ทำให้ปัจจุบันส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะเป็นบวก 43.71 ล้านบาท และ 34.10 ล้านบาท ตามลำดับ โดยบริษัทฯตั้งเป้ารายได้และกำไรจะเติบโตกว่า 10% อย่างน้อย 3-5 ปี ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะอยู่ที่ระดับ 26-27% เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมปลาเส้นและขนมขบเคี้ยวยังมีสูง
สำหรับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีต่อหุ้น PM โดยบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2551 จาก 247 ล้านบาท เป็น 486 ล้านบาท โดยรวมกำไรจากการขายเงินลงทุนในหุ้นบริษัท พรีเมียร์ เอ็นเตอร์ไพร์ส (PE) จำนวน 150 ล้านบาทในปีนี้ รวมถึงกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทย่อยมูลค่า 89 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 และคาดว่าจากผลการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้หุ้นละ 0.15 บาทภายใต้สมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 50% หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5%
บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต มองว่าสินค้าของ PM ซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จึงน่าจะฟื้นตัวในทิศทางเดียวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าผลประกอบการของ PM จะเติบโตทั้งจากยอดขายที่ดีขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและจากมาร์จิ้นที่มีแนวโน้มดีขึ้นจาก economies of scale รวมทั้งจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง นอกจากนี้การมีตลาดส่งออกหลักไปยังญี่ปุ่นก็น่าจะได้ประโยชน์โดยตรงเช่นกันจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทั้งในด้านปริมาณส่งออกและความสามารถในการต่อรองราคา โดยให้ราคาที่เหมาะสมของหุ้นอยู่ที่ 3.8 บาทในปลายปีนี้
บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ประเมินมูลค่าหุ้น PM โดยอ้างอิง PER ที่ 11 เท่าซึ่งเป็นระดับที่คิดลดจาก PER ของกลุ่มอาหารที่ 16 เท่า ดังนั้นราคาที่เหมาะสม ของหุ้นจึงเท่ากับ 4.06 บาท/หุ้นจากการคาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ 0.37 บาท/หุ้นในปี 2551
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์ บริษัท บ้านพีอาร์ จำกัด โทร. 081 944-1972