กรุงเทพฯ--28 พ.ค.--โปรคอมมิวนิเคชั่นส์ แอนด์ คอนซัลแตนท์
สหภาพยุโรป (อียู) เตรียมปรับเปลี่ยนกฎ ระเบียบ คุมเข้มสีผสมอาหารสังเคราะห์ สารกันเสีย หลังมีการเผยแพร่ผลวิจัย ที่บ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าโครงสร้างของสี ที่ส่งเข้าตลาดสหภาพยุโรปและสารกันเสียกระตุ้นให้เกิดโรคสมาธิสั้นในเด็กเพิ่มขึ้น “สถาบันอาหาร” ชี้ผู้ประกอบการไทยกลุ่มผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ส่งออกตลาดสหภาพยุโรปต้องเตรียมพร้อม และปรับตัวในเชิงรุก ก่อนที่สหภาพยุโรปบังคับใช้กฎ ระเบียบใหม่
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า สหภาพยุโรปเป็นกลุ่มประเทศที่ให้ความสำคัญต่อการใช้วัตถุเจือปนอาหารมาก แต่ละปีจะมีการศึกษาวิจัยด้านความเสี่ยงและความปลอดภัยของสารชนิดใหม่ๆ รวมถึงทบทวนการใช้สารชนิดเดิมๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2550 นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเซาท์เทมตันประเทศสหราชอาณาจักรได้เผยแพร่ผลการวิจัยลงในวารสารทางการแพทย์ The Lancet พบว่าการใช้สีผสมอาหารสังเคราะห์ร่วมกับ สารโซเดียม เบนโซเอต ซึ่งเป็นสารกันเสียในอาหารประเภทขนมหวาน ลูกกวาด ลูกอม ไอศกรีม น้ำผลไม้ และน้ำอัดลม อาจเป็นสาเหตุทำให้เด็กอายุระหว่าง 3-9 ปี มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง หรือเป็นโรคสมาธิสั้น เพิ่มขึ้น โรคสมาธิสั้นเป็นโรค ที่พบได้บ่อยในวัยเด็ก โดยเด็กจะไม่สามารถควบคุมสมาธิ และการเคลื่อนไหวของตนเองได้ และก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ แม้ระดับสติปัญญาจะปกติ แต่จะมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
การเผยแพร่รายงานฉบับนี้ส่งผลให้ผู้บริโภคในสหภาพยุโรปตื่นตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมาก ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดที่ใช้สีและสารกันเสียดังกล่าวเป็นส่วนผสมในการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ผู้ปกครองจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากอาหารประเภท น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไอศกรีม ขนมหวานและเค้ก เป็นของชอบของเด็กๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหากข้อมูลเป็นจริงดังรายงานข้างต้นอาจทำให้เด็กต้องเลิกบริโภคอาหารเหล่านั้นไป อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตอาหารและผู้ค้าปลีกในสหราชอาณาจักรบางราย จนทำให้ต้องออกมาตรการแก้ไขเร่งด่วน คือ ภายในปี 2551 จะลดการใช้สีสังเคราะห์และสารกันเสียชนิดดังกล่าวในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจนกว่าจะมีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันที่ชัดเจนมากขึ้น
นายยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเผยแพร่รายงานฉบับนี้ส่งผลให้สำนักความปลอดภัยอาหารแห่ง สหภาพยุโรป นำผลการศึกษาดังกล่าว มาประเมินและพิจารณาอีกครั้งว่าหากเด็กดื่มน้ำผมไม้ที่ผสมสีผสมอาหารสังเคราะห์ร่วมกับการใช้สารกันเสียโซเดียมเบนโซเอตแล้ว ก่อให้เกิดอาการสมาธิสั้นหรือไม่ หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเชื่อถือได้ว่าภายในกลางปี 2551 และจัดทำเป็นข้อคิดเห็นเสนอต่อคณะกรรมาธิการยุโรปแล้ว คาดว่าภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี สหภาพยุโรป จะมีการปรับเปลี่ยนกฎ ระเบียบวัตถุเจือปนอาหาร และสีผสมอาหาร ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งที่ผลิตในสหภาพยุโรปเอง และนำเข้าอย่างแน่นอน โดยอาจเพิ่มความเข้มงวดชนิดของสีที่อนุญาตให้ใช้และจำกัดปริมาณการใช้ให้น้อยลง หรือจำกัดการใช้สีบางชนิด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค
“ผู้ประกอบการอาหารของไทยที่อาจได้รับผลกระทบ คือ ผู้ผลิตอาหารกลุ่มเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ลูกอม ลูกกวาด ขนมหวาน เค้ก ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมหวานแบบไทยๆ แยม เยลลี่ โดยเฉพาะอาหารที่มีสีเหลือง ส้ม แดง ที่ผลิตเพื่อส่งเข้าตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ต้องปรุงแต่งสีสันให้สวยงาม ดึงดูดผู้บริโภคและผู้ผลิตส่วนใหญ่มีความต้องการให้เก็บรักษาไว้ได้นาน จึงต้องมีการผสมสีสังเคราะห์กลุ่มดังกล่าวร่วมกับสารกันเสีย เช่น โซเดียมเบนโซเอต โซเดียมซอร์เบต เป็นต้น” ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าว และกล่าวต่ออีกว่า โซเดียมเบนโซเอต เป็นสารกันเสียที่ผู้ผลิตอาหารไทยทั้งระดับ SME และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นิยมใช้กันมากเพราะมีข้อดีหลายประการ คือ ราคาถูก หาง่าย ละลายน้ำได้ดีมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์หลายชนิด และในฐานะที่ไทยจะก้าวสู่การเป็นครัวที่ผลิตอาหารคุณภาพและมีความปลอดภัยของโลกผู้ประกอบการ ที่ผลิตอาหารและเครื่องดื่มส่งออกโดยเฉพาะที่ส่งเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปจะต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวในเชิงรุก โดยผู้ประกอบการควรปรับตัวก่อนที่สหภาพยุโรปจะมีการปรับเปลี่ยนกฎ ระเบียบรายการ และปริมาณสีผสมอาหารและสารกันเสียที่อนุญาตให้ใช้ใหม่ และก่อนที่กฎ ระเบียบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ดังนี้ 1. ลดการใช้สีสังเคราะห์และสารกันเสียกลุ่มที่ให้สีเหลือง ส้ม และแดง ในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจนกว่าจะมีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่เด็กๆ ชอบรับประทาน เช่น ลูกกวาด ขนมหวาน เค้ก เบเกอรี่ น้ำผลไม้และเครื่องดื่มอัดลม 2. ติดตามการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและ กฎ ระเบียบของสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการดำเนินงานของ European Food Safety Authority (EFSA) ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณางานวิจัยและประเมินความปลอดภัยของอาหารที่ใช้สีผสมอาหารสังเคราะห์ร่วมกับการใช้สารกันเสียโซเดียมเบนโซเอตว่าก่อให้เกิดอาการสมาธิสั้นหรือไม่ 3. ตรวจสอบชนิดของสีสังเคราะห์ทุกกลุ่มสีที่สหภาพยุโรปอนุญาตให้ใช้หรือไม่อนุญาตให้ใช้ในปัจจุบันและทำความเข้าใจต่อข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องทั้งหลายเพื่อนำมาสร้างระบบในการเลือกใช้ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรป 4. เปลี่ยนมาใช้สีผสมอาหารที่ได้จากธรรมชาติหรือสีที่สกัดจากธรรมชาติทดแทนการใช้สีสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสีที่สหภาพยุโรปอนุญาตให้ใช้
รายละเอียดเพิ่มเติม : บริษัท โปรคอมมิวนิเคชั่นส์ แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด
สุขกมล งามสม โทรศัพท์ 0 89484 9894, 0 2691 6302-4, 0 2274 4961-2