กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
คัดตัวนักแสดง
เนื่องจากสามก๊กเป็นที่ชื่นชอบของชาวเอเชียมานาน ทั้งจากนวนิยาย, การ์ตูน, วิดีโอเกม หรือภาพยนตร์และละครทีวีที่เคยสร้างมา เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะมีจินตนาการภาพตัวละครแต่ละตัวเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้การคัดตัวนักแสดงสำหรับเรืองนี้เป็นงานที่ท้าทาย
แต่เนื่องจากผู้กำกับ จอห์น วู ต้องการยึดข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เป็นหลัก เขาจึงตัดสินใจเลือกนักแสดงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคำบรรยายตัวละครในหนังสือประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น ขงเบ้ง ที่หนังสือบรรยายว่าเขามีอายุเพียง 27 ปี ในช่วง ค.ศ. 208 ตอนที่ทำสงครามผาแดง เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาความสูง 6 ฟุต ที่เล่าปี่เพิ่งเลือกมาเป็นที่ปรึกษาทางการทหาร ทาเคชิ คาเนชิโร่ นำเสน่ห์, อารมณ์ขัน และเชาว์ปัญญา ใส่เข้าไปในบทจนราวกับว่าบทนี้สร้างมาเพื่อเขา และบังเอิญเหลือเกินที่เขาชื่นชอบตัวละครงเบ้งมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ส่วนตัวละคร จิวยี่ ขุนพลแห่ง่อก๊ก คือวีรบุรุษอุดมคติที่ไม่เพียงได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ยังถูกกล่าวถึงในบทกลอนของกวีสมัยราชวงศ์ซ่งด้วย จิวยี่เป็นบุรุษผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ขณะเดียวกันก็มีความรักที่ลึกซึ้งต่อเสี่ยวเกี้ยว ภรรยาสาวผู้รักสงบ ผู้ชมจะประหลาดใจระคนยินดีที่ได้เห็นเหลียงเฉาเหว่ยเขามารับบทวีรบุรุษผู้นี้ เพราะเขาไม่เคยรับบทเป็นแม่ทัพโบราณณเลย และนี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นเขาใส่ชุดเกราะต่อสู้บนหลังม้า
Red Cliff เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามที่เหลียงเฉาเหว่ยร่วมงานกับจอห์น วู ก่อนหน้านี้เขารับบทเป็นนักผจญภัยยุค 60 ผู้มีเกียรติใน Bullet in the Head และนายตำรวจผู้มีบาดแผลในใจใน Hard Boiled ซึ่งสองเรื่องนี้ถือเป็นผลงานภาพยนตร์ฮ่องกงที่ดีที่สุดของจอห์น วู
มีการกล่าวถึงเสี่ยวเกี้ยว ภรรยาของจิวยี่น้อยมากในวรรณกรรม นอกจากบอกว่าเธอคือสาวงามผู้เป็นต้นเหตุให้เรือสองพันลำล่ม นางแบบสาวแถวหน้าของเอเชีย หลินจื้อหลิง แจ้งเกิดในผลงานการแสดงเรื่องแรก โดยนำความสง่างามและความเข้มแข็งสู่ตัวละคร จนผู้ชมลืมไปเลยว่าเธอคือนางแบบสาวสวยยอดนิยมในปัจจุบัน หลินจื้อหลิงถึงกับงดงานเดินแบบ ถ่ายแบบ นานถึง 6 เดือน เพื่อเตรียมตัวรับบทนี้ เธอไปเรียนแอ๊คติ้งกับครูสอนการแสดงถึง 3 คนในปักกิ่งก่อนเปิดกล้อง สุดท้ายความตั้งใจและความพยายามของเธอก็ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม และบทนี้จะทำให้เธอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่อย่างแน่นอน
ตัวละครอีกหนึ่งตัวหนึ่งที่ท้าทายการหานักแสดงของทีมงานก็คือโจโฉ ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นตัวร้าย เขาอาจเป็นคนทะเยอทะยานและอยากเป็นจักพรรดิก็จริง แต่จุดประสงค์ของเขาคือรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น เพราะตอนนั้นจีนแบ่งแยกออกเป็นหายก๊กหลายเหล่า อีกทั้งเขายังเป็นกวีและจิตรกรที่มีพรสวรรค์ด้วย จางเฟิงอี้ คือนักแสดงผู้รับบทนี้ เขาโด่งดังจากบทตัวดีใน Farewell My Concubine และ The Emperor and the Assassin แต่ได้ถ่ายทอดบทร้ายที่ซับซ้อนอย่างโจโฉออกมาได้อย่างลึกซึ้ง จึงไม่น่าแปลดที่ผู้ชมจะรู้สึกชื่อนชมในการแสดงของเขา
งานสร้าง
หลังจากวางแผนงานสร้าง 3 ปี และพรีโปรดักชั่นอีก 1 ปี ในที่สุด Red Cliff ก็เปิดกล้องในวันที่ 14 เมษายน 2007 บนที่ดินของ CCTV ในจั้วโจว มณฑลเหอเป่ย ซึ่งใช้เวลาขับรถจากปักกิ่งไปถึงประมาณ1 ชั่วโมง
ผู้ออกแบบงานสร้าง ทิม ยิบ และผู้กำกับศิลป์ เอ๊ดดี้ หว่อง ช่วยกันรื้อฉากพระราชวังที่มีอยู่แล้ว และดัดแปลงมันให้กลายเป็นพระราชวังสองแห่ง ได้แก่ วังราชวงศ์ฮั่นที่ซึ่งโจโฉข่มขู่ฮ่องเต้ และวังของซุนกวนที่ขงเบ้งปะทะคารมกับสภาที่ปรึกษาของซุนกวน
ฉากภายในอาคารอีกฉากหนึ่งก็สร้างขึ้นในสตูดิโอจั้วโจวของ CCTV เช่นกัน นั่นคือฉากที่พำนักของขุนพลจิวยี่ ซึ่งใช้ถ่ายทำฉากที่อ่อนโยนที่สุดในหนัง ได้แก่ ฉากระหว่างจิวยี่กับเสี่ยวเกี้ยว และฉากดวลพิณระหว่างจิวยี่กับขงเบ้ง ซึ่งเป็นฉากโปรดของผู้กำกับ จอห์น วู
นอกจากฉากภายในสามฉากที่กล่าวมาข้างต้น ก็ไม่มีฉากภายในฉากไหนอีกแล้วในหนัง ฉากที่เหลือเป็นฉากกลางแจ้งทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็นฉากสงครามสามฉากใหญ่ๆด้วยกัน ได้แก่ ฉากสงครามฉางปานตอนตั้นเรื่อง, ฉากสงครามซานเจียงโก๋วตอนกลางเรื่อง และฉากสงครามผาแดงตอนท้าย
สงครามฉางปาน
สงครามฉางปานแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การต่อสู้ที่หมู่บ้านฉางปาน ที่ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ถูกฆ่า และแม่ทัพจูล่งช่วยชีวิตบุตรชายของเล่าปี่ไว้ ส่วนที่สองคือการต่อสู้ที่เนินฉางปาน ที่ซึ่งแม่ทัพกวนอูและเตียวหุยสกัดกองทัพศัตรูเอาไว้เพื่อให้ไพร่พลหนีไปได้อย่างปลอดภัย
ในการเตรียมตัวรับบทจูล่ง ฮูจุนต้องเตรียมพร้อมร่างกายหลายเดือนกับผู้กำกับคิวบู๊ ดิออน ลัม ที่ช่วยฝึกให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดก่อนเริ่มถ่ายทำ โชคร้ายที่การฝึกร่างกายอย่างหนักทำให้อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของอูจุนกำเริบ ทำให้เขาต้องพักฟื้นอีกเป็นเดือน และก่อนเปิดกล้องไม่นาน ก็มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับคิวบู๊เป็น โครี่ หยวน
น่าสนใจว่านี่คือการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของวูและหยวน หลังจากร่วมงานกันครั้งแรกในปี 1974 ตอนนั้นหยวนกำกับคิวบู๊ให้ The Young Dragons ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกๆของวู แม้จะไม่ได้ร่วมงานกันนานกว่า 30 ปี แต่ทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จอย่างราบรื่นกับ Red Cliff ฉากแอ๊คชั่นแต่ละฉากที่วูออกแบบบนกระดาษ ได้รับการถ่ายทอดอย่างละเอียดและสวยงามโดยหยวน ความเชื่อใจที่พวกเขามีให้กันทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก แม้การถ่ายทำจะยากลำบากก็ตาม
สงครามซานเจียงโก๋ว
ฉากสงครามฉากแรกของเหลียงเฉาเหว่ย คือฉากสงครามซานเจียงโก๋วที่ถ่ายทำเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2007 อากาศร้อนจัดยังไม่พอ เหลียงเฉาเหว่ยยังต้องสวมชุดเกราะหนักอึ้งและขี่ม้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ถ่ายทำยังเป็นที่โล่งซึ่งไม่มีที่กำบังใดๆให้หลบร้อนนอกจากเต้นท์ 2-3 หลังที่ทีมงานสร้างไว้
หากมองข้ามเรื่องอากาศไป จะพบว่าฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ด้วยทหารเดินเท้ากว่าหนึ่งพันนายและม้ากว่า 300 ตัว (รวมทั้งทหารม้าอีก 300 นาย) บวกกับทีมงานอีกกว่า 700 ชีวิต ฉากต่อสู้ฉากนี้จึงเป็นการทำงานที่ใหญ่พอสมควร
วันสุดท้ายในการถ่ายทำ เหลียงเฉาเหว่ยทำงานที่สถานที่แห่งเดิม ฉากเดิม และสวมเกราะชุดเดิม ความแตกต่างอย่างเดียวคืออากาศคราวนี้หนาวมาก และพื้นเต็มไปด้วยหิมะ หรืออาจกล่าวได้ว่าฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำกว่า 6 เดือน กว่าจะเสร็จสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชมดูแล้วคงคาดไม่ถึง
ฉากนี้เริ่มจากตัวละครซุนฮูหยิน ที่รับบทโดยจ้าวเหว่ย ที่ตั้งใจนำกองทัพสตรีซุ่มโจมตีกองทัพของโจโฉโดยยิงธนูเข้าไป เมื่อรู้ว่าศัตรูไล่ตามมา เธอก็ควบม้าลวงพวกนั้นไปยังที่มั่นของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเป็นเหมือนที่กำบังของเธอ เมื่อศัตรูติดกับ ขุนพลฝ่ายสัมพันธมิตรก็ออกมาต่อสู้ที่ละคน สุดท้าย จิวยี่ ตัวละครของเหลียงเฉาเหว่ย ก็ลงมาจากแท่นและเข้าร่วมรบด้วย โดยเข้ามาขวางลูกธนูให้กับจูล่ง ตัวละครของฮูจุน อย่างอาจหาญ
สงครามผาแดง
แม้จะได้ชื่อว่าสงครามผาแดง แต่โดยทางเทคนิคแล้ว ควรเรียกว่าสงครามป่าอีกา (อู่หลิม) มากกว่า เพราะการต่อสู้เกิดขึ้นที่ป่าอีกา มิใช่ผาแดง ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ
สงครามอันเลื่องชื่อครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ การต่อสู้บนบก และการต่อสู้ในน้ำ สำกรับฉากในแม่น้ำ เป็นฉากที่แม่ทัพอุยกาย ส่งเรือไฟไปเผากองทัพเรือของโจโฉ เรือบางลำของโจโฉล่มทันที บางลำก็แตกออกเป็นชิ้นๆแล้วจึงล่ม เนื่องจากลมพัดไปในทิศทางนั้นพอดี ประกอบกับเรือของโจโฉถูกผูกติดกันเป็นแพ ไฟจึงลุกลามเร็วขึ้น จนในที่สุดเรือจำนวนสองพันลำก็ถูกไฟเผาทำลายจนวอดวาย
ฉากนี้ฉากเดียวใช้เวลาวางแผนมากกว่า 1 ปี เรือขนาดใหญ่เต็มรูปแบบจำนวน 18 ลำ ถูกสร้างขึ้นในสถานที่ถ่ายทำ เพราะเรือใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไปต่อข้างนอก แล้วย้ายมาที่อ่างเก็บน้ำ จะลำบากเรื่องการขนส่ง เรือลำใหญ่ที่สุดมีความสูงถึง 38 เมตร (125 ฟุต!) การสร้างเรือทั้งหมดใช้เวลา 8 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2006 ถึงเดือนพฤษภาคม 2007 ขณะเดียวกัน ก็มีการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่จำนวน 4 แห่งขึ้นในบริเวณนั้น แต่ก็มีเรือหลายลำที่สร้างขึ้นในอู่ต่อเรือใกล้ๆ และขนย้ายมายังบริเวณถ่ายทำทีหลัง ส่วนอีกสองพันลำที่เหลือ จำเป็นต้องสร้างขึ้นด้วยระบบดิจิตอล
สำหรับฉากสงครามบนผืนน้ำ ผู้กำกับ แพทริค เหลียง ถูกเกณฑ์มาช่วยในการถ่ายทำด้วย ซึ่งงานนี้แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน ขั้นแรก เขาถ่ายทำสดในสถานที่ถ่ายทำ ส่วนใหญ่เป็นการเก็บภาพเรือถูกไฟเผาและทหารตกน้ำ ขั้นที่สอง เขาและทีมงานสร้างแทงก์น้ำขนาดยักษ์ขึ้นในโรงถ่ายขนาดใหญ่ใกล้ปักกิ่ง ซึ่งทำให้ต้องรื้อเรือออกเป็นชิ้นๆแล้วไปต่อใหม่ที่นั่น เพื่อถ่ายทำฉากเรือชนกันและจม ขณะที่ไฟยังคงลุกลามและการสู้รบยังดำเนินต่อไป จากนั้นก็ถ่ายทำเพิ่มอีกเล็กๆน้อยเพื่อเสริมในส่วนของฉากแอ๊คชั่นสด และสุดท้ายบริษัทวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อย่าง Orphanage ก็รับหน้าที่ตกแต่งบางฉากให้สมบูรณ์
ฉากต่อสู้บนบกเป็นฉากสุดท้ายของหนัง เริ่มจากตัวละครกำเหลง ซึ่งรับบทโดย ชิโด นากามูระ ขึ้นบุกอ่าวและเสียสละตนเอง เผาประตูป้อมปราการ จากนั้นขุนพลจิวยี่ก็นำทัพเข้าโจมตีต่อ เขาต้องการช่วยชีวิตเสี่ยวเกี้ยว ผู้เป็นภรรยา ที่ถูกโจโฉคุมขังอยู่ในป้อมปราการ
ฉากรบอันยิ่งใหญ่อลังการฉากนี้ เป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้เห็นจิวยี่และโจโฉเผชิญหน้ากันท่ามกลางทะเลเพลิง และแน่นอนว่าฉากนี้จะติดตาผู้ชมจนจบเครดิตปิดท้ายเรื่องเลยทีเดียว
สารจากผู้กำกับ
“เราต่างเคยชมภาพยนตร์มหากาพย์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ด ในฐานะผู้ชม เรารู้สึกตื่นเต้นกับภาพอันยิ่งใหญ่และพลังเสียงที่เร้าอารมณ์จากเทคโนโลยีอันทันสมัย ผู้ชมทั่วโลกก็ชื่นชอบภาพยนตร์จีนแนวต่างๆเช่นกัน ทั้งกังฟู, แอ๊คชั่น และดราม่า แต่ภาพยนตร์จีนมหากาพย์อิงประวัติศาสตร์ยังไม่เคยได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ด้วยเทคนิคอันทันสมัยแบบฮอลลีวู้ดมาก่อน ภาพยนตร์จีนมีองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอยู่มาก รวมทั้งจิตวิญญาณแห่งศิลปะการต่อสู้ สื่อภาพยนตร์ทำให้เราสามารถถ่ายทอดความเชื่อและวัฒนธรรมได้หลายชั้น ความคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับวีรบุรุษในสามก๊ก ให้หลากหลายจากแนวศิลปะการต่อสู้ นี่คือภาพยนตร์ที่ผมฝันอยากสร้างมานาน ตั้งแต่ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษในประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติเหล่านั้น
เรื่องราวใน Red Cliff เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,800 ปีก่อนในประเทศจีน ศึกผาแดงเป็นสงครามที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ จากเรื่องราวที่เล่าต่อกันอย่างแพร่หลาย เราได้เรียนรู้ถึงสติปัญญาและความกล้าหาญของคนจีนในอดีต ที่แม้จะถูกรุกรานโดยศัตรูจำนวนมหาศาล ก็สามารถวางแผนเอาชนะได้ ผมเชื่อว่า การร่วมงานกับทีมงานที่มีความสามารถและการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ทำให้เราสามารถนำเรื่องราวมหากาพย์นี้สู่จอภาพยนตร์ด้วยคุณภาพระดับฮอลลีวู้ดได้ เราสร้างสรรค์ฉากต่อสู้ที่สมจริงด้วยการถ่ายทำบนสถานที่จริงและใช้เทคนิคพิเศษตกแต่งหลังการถ่ายทำ ซึ่งงานภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้ยังไม่เคยปรากฎในภาพยนตร์จีนเรื่องไหนมาก่อน
เป้าหมายของผมคือการยกหนังเรื่องนี้ให้ข้ามพ้นกำแพงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อที่ผู้ชมชาวตะวันตกจะได้รู้สึกเหมือนกับได้ดู Troy ฉบับเอเชีย ขณะที่ผู้ชมชาวเอเชียจะได้เห็นมุมมองใหม่ของเรื่องราวที่พวกเขาคุ้นเคย นอกจากนี้ ผมยังต้องการพิสูจน์ว่าประเทศจีน สามารถสร้างภาพยนตร์มหากาพย์คุณภาพทัดเทียมฮอลลีวู้ดได้
สำหรับผม แง่มุมที่น่าสนใจที่สุดของสามก๊ก ไม่ใช่ตัวละครเหนือธรรมชาติที่อยู่ในวรรณกรรม แต่คือความเป็นวีรบุรุษที่ตัวละครแสดงออกมา โลกนี้มีวีรบุรุษอยู่หลายประเภท แต่ผมชอบวีรบุรุษที่สมจริงและเป็นมนุษย์มากกว่า และวีรบุรุษในสามก๊กมีคุณสมบัติตรงกับวีรบุรุษในทัศนคติของผม ผมเชื่ออย่างจริงใจว่า อารมร์ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเรื่องสากล และไม่ผูกติดกับวัฒนธรรม ค่านิยมเรื่องคุณธรรม, ความดีงาม และมิตรภาพ ได้รับการยกย่องในตะวันตกเล่นเดียวกับในตะวันออก แม้ความรู้สึกเหล่านี้จะได้รับการถ่ายทอดในลักษณะที่ต่างกัน แต่ลึกๆแล้ว เราต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงละข้ามรายละเอียดบางอย่างในการสร้าง Red Cliff เรามีทีมสร้างขนาดใหญ่จากทั่วโลก ทั้งจากจีน, อเมริกา, ญี่ปุ่น และเกาหลี ดังนั้นทีมงานมากความสามารถจากตะวันตกและตะวันออกจึงมีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน
ระหว่างการถ่ายทำ Red Cliff ผมประหลาดใจมากที่ได้เห็นว่ามีคนหนุ่มสาวมากมายที่สนใจการทำหนังในประเทศจีน พวกเขาทำงานหนักและเรียนรู้เร็ว ขณะเดียวกันก็มีทัศนคติที่เรียบง่าย แม้จะมีพื้นเพการทำงานต่างกัน แต่เราก็ร่วมมือกันแก้ปัญหาตรงหน้าได้ทุกครั้ง ทุกคนอดทนกับอากาศอันร้อนอบอ้าว เพื่อให้การถ่ายทำฉากสงครามสำเร็จอย่างลุล่วง ผมรู้สึกปลาบปลื้มกับสปิริต, ความขยัน และความสามัคคีของทีมงานเรามาก
ในขณะเดียวกัน เราได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากรัฐบาลจีนในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์จีนเดินมาถูกทางแล้ว อีกไม่นานภาพยนตร์จีนจะก้าวสู่เวทีโลกและสะกดคนดูทั่วโลกด้วยความหลากหลายและนักแสดงคุณภาพ
หากเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ภาพยนตร์อย่าง Red Cliff ไม่มีโอกาสได้สร้างอย่างแน่นอน เพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและทรัพยากร เพราะฉะนั้น ผมจึงของส่งคำขอบคุณถึงนักลงทุนจากประเทศจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี และไต้หวัน ที่ช่วยทำให้ฝันผมเป็นจริง ผมปรารถนาจะสร้างภาพยนตร์ที่ผู้ชมทั่วโลกสามารถสนุกไปกับมันได้ ผมขอพูดจากใจว่า ภาพยนตร์ไม่มีพรมแดน ขณะที่ผู้ชมชาวตะวันออกชื่นชอบภาพยนตร์ตะวันตก ผู้ชมชาวตะวันตกก็ชื่นชอบวัฒนธรรมอันสง่างามของตะวันออกเช่นกัน เพราะฉะนั้น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อคุณดู Red Cliff คุณจะไม่มองมันว่าเป็นภาพยนตร์จีนหรือฮอลลีวู้ด แต่เป็นภาพยนตร์ของคนทั่วโลก”
จอห์น วู
นักแสดง
เหลียงฉาเหว่ย รับบท จิวยี่
ผลงาน Bullet in the Head, Hard Boiled, days of Being Wild, Chunking Express, Ashes of Time, Happy Together, In the Mood for Love, Hero, Infernal Affairs, Infernal Affair III, 2046, Confession of Pain, Lust Caution
ทาเคชิ คาเนชิโร่ รับบท ขงเบ้ง
ผลงาน The Executioners, Chunking Express, Fallen Angels, Hero, Downtown Torpedos, Anna Magdelena, Tempting Heart, Returner, House of Flying Daggers, Perhaps Love, Confession of Pain, The Warlords
จางเฟิงอี้ รับบท โจโฉ
ผลงาน Rickshaw Boy, My Memoires of Old Beijing, Temptation of a Monk, Farewell My Concubine, The Great Conqueror’s Concubine, One and a Half, The Emperor and The Assassin
ฉางเฉิน รับบท ซุนกวน
ผลงาน Happy Together, Crouching Tiger Hidden Dragon, Chinese Odyssey 2002, 2046, Eros (ตอน The Hand), Three Times, Silk, Go Master, Breath, Missing
หลินจื้หลิง รับบท เสี่ยวเกี้ยว
(นางแบบชื่อดังจากไต้หวัน Red Cliff คือผลงานการแสดงเรื่องแรก)
จ้าวเหว่ย รับบท ซุนฮูหยิน
ผลงาน ทีวีซีรี่ย์ “องค์หญิงกำมะลอ”, The Duel, Shaolin Soccer, A Chinese Odyssey 2002, So Close
ฮูจุน รับบท จูล่ง
ผลงาน Lan Yu, Golden Chicken, Infernal Affairs III, The Assembly
ชิโด นากามูระ รับบท กำเหลง
ผลงาน >> Be With You, Yamato, Fearless, Letter from Iwo Jima
ทีมสร้าง
จอห์น วู — กำกับการแสดง
ผลงาน A Better Tomorrow (โหดเลวดี), A Better Tomorrow (โหดเลวดี 2), Bullet in the Head (กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกะโหลก), Hard-Boiled (ตำรวจะลักเดือด), Face/Off, Mission Impossible II, Windtalkers, Paycheck
เทอร์เรนซ์ จาง — อำนวยการสร้าง
ผลงาน Hard-Boiled, Broken Arrow, Face/Off, The Replacement Killers, The Big Hit, The Corruptor, Anna and the King, Mission Impossible II, Windtalkers, Paycheck, Blood Brothers
โครี่ หยวน — กำกับคิวบู๊
ผลงาน Fong Sai Yuk, Fong Sai Yuk II, X-Men, The Transporter, Twins Effect II
ทิม ยิบ — ออกแบบงานสร้าง
ผลงาน Crouching Tiger Hidden Dragon, The Promise, The Banquet
หลูยู่ — กำกับภาพ
ผลงาน Shanghai Triad, Xiu Xiu: TheSent-Down Girl, The Assembly
จางลี่ — กำกับภาพ
ผลงาน A World Without Thieves, The Banquet
แอนจี้ ลัม— ตัดต่อภาพ
ผลงาน Fong Sai Yuk II, Once Upon A Time in China III, Hero, Kung Fu Hustle, CJ7
หยางหงยู่ — ตัดต่อภาพ
ผลงาน Shower, Beijing Bicycle, Shanghai dreams, In Love We Trust
โรเบิร์ท เอ เฟอร์เรตติ — ตัดต่อภาพ
ผลงาน Rocky V, Die Hard II, Under Siege, The Hunted, Highlander: End Game
ทาโร่ อิวาชิโร่ — เพลงประกอบ
ผลงาน Goodbye Tomorrow, Blood and Bone, Shinobi, The Sinking of Japan
เคร็ก เฮย์ — ดูแลสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์
ผลงาน Starship Troopers, The Haunting, Hollow Man, The One, Blade II, The Matrix Revolutions, Constantine
บริษัท Orphanage — ดูแลวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์
ผลงาน Live Free or Die Hard, Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer, Superman Returns, Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest และ At World’s End, Harry Potter and the Goblet of Fire, Sin City, The Day After Tomorrow