กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
Red Cliff
“จอห์น วู สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ”
มหึมาภาพยนตร์ทุนสร้างสูงสุดแห่งเอเชียที่ถูกสร้างพร้อมกันถึง 2 ภาค การขึ้นจอครั้งประวัติศาสตร์ของอมตะนิยายจีน “สามก๊ก” กับสงครามครั้งสำคัญที่โลกต้องจารึก เหลียงเฉาเหว่ย รับบท จิวยี่ / ทาเคชิ คาเนชิโร่ รับบท ขงเบ้ง กำกับภาพยนตร์โดย จอห์น วู
ประจักษ์ความยิ่งใหญ่พร้อมกัน วันที่ 10 กรกฎาคม นี้ ทุกโรงภาพยนตร์
บทนำ
เรื่องราวใน Red Cliff เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 208 ในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น แม้จะมีจักรพรรดิ คือพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่แผ่นดินก็แบ่งออกเป็นก๊กเป็นเหล่ามากมาย
ขุนศึกและผู้สำเร็จราชการผู้ทะเยอทะยาน โจโฉ ใช้จักรพรรดิเป็นเครื่องมือประกาศสงครามกับดินแดนจ๊กก๊กทางตะวันตกที่ปกครองโดยเล่าปี่ ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของจักรพรรดิ เป้าหมายของโจโฉคือกำจัดทุกก๊กให้ราบคาบ เพื่อรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียว และตั้งตนเป็นจักพรรดิ
เล่าปี่ส่งขงเบ้ง ที่ปรึกษาของเขาไปยังดินแดนง่อก๊กทางใต้ในฐานะทูตสันถวไมตรีเพื่อโน้มน้าวให้ซุนกวน ผู้นำง่อก๊ก เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทำสงครามกับโจโฉ ที่นั่น ขงเบ้งได้พบกับจิวยี่ ที่ปรึกษาแห่งง่อก๊ก และกลายเป็นมิตรกันท่ามกลางไฟสงครามที่กำลังคุกรุ่น
เมื่อได้รู้ว่าสองก๊กรวมตัวเป็นพันธมิตรกัน โจโฉก็โกรธมาก และรวบรวมกำลังพลกว่า 8 แสนนาย พร้อมด้วยเรืออีกกว่า 2 พันลำ มุ่งหน้าลงใต้หวังฆ่านกสองตัวด้วยก้อนหินก้อนเดียว กองทัพของโจโฉตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ป่าอีกา (Crow Forest หรือ อู่หลิม) ริมฝั่งแม่น่ำแยงซี โดยที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำคือผาแดง (Red Cliff) ฐานที่มั่นของฝ่ายสัมพันธมิตร
ด้วยเสบียงอาหารที่ขาดแคลนและกองทัพจำนวนมหาศาลของโจโฉ ฝ่ายสัมพันธมิตรดูเหมือนจะตกที่นั่งลำบาก จิวยี่และขงเบ้งจึงต้องร่วมกันใช้ปฏิภาณเพื่อเปลี่ยนกระดานศึก สงครามครั้งนี้เต็มไปด้วยการต่อสู้ทั้งเชิงบู๊และเชิงบุ๋น, ทั้งในน้ำและบนบก จึงกลายเป็นสงครามที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ที่ซึ่งเรือสองพันลำถูกเผาวอดวาย และเป็นเหตุให้ประวัติศาสตร์จีนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สงครามดังกล่าวนั้นก็คือ “ศึกผาแดง” นั่นเอง
ศึกผาแดงได้รับการถ่ายทอดให้เป็นอมตะในวรรณกรรมเรื่อง “สามก๊ก” (The Romance of Three Kingdom) แม้จะถูกเขียนขึ้นกว่า 700 ปีแล้ว แต่สามก๊กก็ยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากนักอ่านทั่วเอเชีย และขยายวงกว้างกลายเป็นวิดีโอเกมส์และหนังสือการ์ตูนมากมาย
ผู้กำกับ จอห์น วู สนใจวรรณกรรมเรื่องนี้มากว่า 20 ปีแล้ว แต่ตอนนั้นเทคโนโลยีและตลาดหนังยังไม่เอื้อต่อภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ กระทั่งฤดูร้อนปี 2004 โอกาสก็มาถึงเขา เมื่อผู้อำนวยการสร้างคู่บุญ เทอเรนซ์ จาง เดินทางไปปักกิ่งเป็นครั้งแรก และเริ่มวางแผนระดมทุน และงานสร้างด้วยกัน
เรื่องย่อ
เรื่องราวเปิดฉากขึ้นใน ค.ศ. 208 ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น แม่ทัพโจโฉผู้ชาญฉลาด (ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งอาณาจักรฮั่น) ชักจูงจักรพรรดิเหี้ยนเต้ที่อ่อนแอให้ประกาศสงครามกับง่อก๊กทางตะวันตกและตะวันออก และจ๊กก๊กทางใต้ โดยอ้างว่าจุดประสงค์ของเขาคือรวมประเทศจีนให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นผลดีต่อราชวงศ์ฮั่น แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการตั้งตนเป็นใหญ่ หลังจากโน้มน้าวพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้สำเร็จ โจโฉก็นำกองทัพนับล้านสู่สงคราม เป้าหมายแรกของเขาคือจ๊กก๊ก อาณาจักรที่เพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่โดยผู้นำจิตใจเมตตานามว่าเล่าปี่
เมื่อยกทัพมาถึงจ๊กก๊ก กองกำลังของโจโฉก็ตีทัพใหญ่ของเล่าปี่แตกอย่างง่ายดาย ทำให้เล่าปี่ต้องอพยพราษฎรหลบหนีออกจากเมืองซินเอี๋ย ภายใต้การคุ้มกันของกองทหารและสองขุนพลเอก กวนอู และเตียวหุย น้องชายร่วมสาบานของเล่าปี่ที่คอยเสี่ยงชีวิตระวังหลังให้ไพร่พลตลอดทาง
ขณะเดียวกัน จูล่ง ขุนศึกของเล่าปี่ ได้นำทารกบุตรชายของเล่าปี่ใส่ไว้ในชุดเกราะแล้วควบม้าฝ่ากองทัพของโจโฉ โดยฆ่าทหารของโจโฉเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำบุตรชายไปส่งคืนให้เล่าปี่
หลังจากยืดหยัดต่อสู้กับโจโฉเยี่ยงวีรบุรุษ กวนอู, เตียวหุย และกองทหารก็ลี้ภัยตามเล่าปี่ไปพร้อมประชาชนที่เหลือ บัดนี้แม่น้ำแยงซีเกียงเป็นปราการธรรมชาติเพียงอย่างเดียวที่ป้องกันไม่ให้กองทัพขนาดมหึมาของโจโฉเคลื่อนตามมาได้ พวกเขารู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็ว กองกำลังของโจโฉต้องตามมาและฆ่าทุกคนอย่างแน่นอน จึงไม่มีทางอื่นนอกจากส่งขงเบ้ง ไปเป็นตัวแทนเจรจากับง่อก๊กเพื่อสร้างกองทัพพันธมิตรทำสงครามกับโจโฉ
เมื่อเดินทางมาถึงอาณาจักรอันเฟื่องฟูของง่อก๊ก ปรากฎว่าข้อเสนอของขงเบ้งถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจากกษัตริย์วัย 26 ปี ซุนกวน และสภาที่ปรึกษาของเขา แต่โลซก ที่ปรึกษาคนหนึ่งของซุนกวนบอกขงเบ้งว่า ถ้าจะให้ซุนกวนยินยอม ต้องโน้มน้าวจิวยี่ ขุนพลคนสำคัญของเขาให้เห็นด้วยก่อน ขงเบ้งจึงเดินทางไปหาจิวยี่ที่สนามซ้อมรบในผาแดง ซึ่งจิวยี่กำลังฝึกกองทหารชั้นเลิศของเขาอยู่กับกำเหลง คืนนั้น จิวยี่กับขงเบ้งแสดงฝีมือการดีดพิณร่วมกัน และปรึกษากันเรื่องสงคราม นอกจากนี้ ขงเบ้งยังได้พบกับเสี่ยวเกี้ยว ภรรยาของจิวยี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่สวยที่สุดในประเทศจีน ซึ่งบิดาของเสี่ยวเกี้ยวนั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับโจโฉมาเป็นเวลานานหลายปี
หลังจากผูกมิตรกันในคืนนั้น จิวยี่และขงเบ้งก็กลับไปหาซุนกวนอีกครั้ง และโน้มน้าวให้เขายอมร่วมมือกับเล่าปี่ เพื่อประโยชน์ของอาณาจักร ประกอบกับเวลานั้น โจโฉได้ส่งสารถึงซุนกวนขอให้เขายอมแพ้อย่างเป็นทางการ ซุนกวนจึงตกลงเปิดสงครามกับโจโฉด้วยความโมโห
โจโฉที่กำลังกระหายศึก ส่งทหารเอก แฮหัวเอี๋ยน พร้อมด้วยกำลังทหารไปโจมตีฝ่ายพันธมิตรบนหลังม้า แต่จิวยี่และขงเบ้งคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่ แฮหัวเอี๋ยนถูกจู่โจมโดย ซุนฮูหยิน น้องสาวทอมบอยของซุนกวนก่อน และเกิดความโมโห จึงควบม้าไล่ตามเธอไปจนติดกับ จากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรก็ใช้กลศึกอันแยบยลจัดการกับเหล่าทหารของแฮหัวเอี๋ยนจนยอมแพ้ ตัวแฮหัวเอี๋ยนนั้นได้รับการไว้ชีวิต และเดินทางกลับค่ายด้วยความอับอาย จิวยี่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการต่อสู้อย่างองอาจครั้งนี้ ซึ่งเขาได้ช่วยชีวิตจูล่งไว้ด้วย
กองทัพง่อก๊กที่ยังคงฮึกเหิมกับชัยชนะ ตั้งค่ายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียงทางตอนใต้ ใกล้บริเวณหุบเขาสูงชันที่เรียกว่า “ผาแดง” ส่วนทางตอนเหนือของแม่น้ำ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันพอดี โจโฉได้สร้างป้อมปราการสูงชันที่กลางค่ายอย่างโออ่า ในบริเวณที่เรียกว่า “ป่าอีกา” พร้อมกับล้อมรั้วตั้งค่ายเรือรบจำนวนกว่า 2 พันลำ แต่ขณะที่ทหารกำลังเตรียมพร้อมรับศึกอยู่นั้น โจโฉกลับบอกให้ทหารของเขาเล่น “ฉูจู้” หรือกีฬาโบราณลักษณะคล้ายฟุตบอล
ซุนฮูหยิน น้องสาวของซุนกวนผู้มีนิสัยกล้าหาญเยี่ยงนักรบ ได้ออกเดินทางข้ามแม่น้ำและปลอมตัวเป็นทหารของโจโฉเพื่อสอดแนมและสืบข่าว โดยผูกมิตรกับทหารหนุ่มชื่อซุนซูฉาย จนได้ร่วมเล่นในทีมฉูจู้ด้วย
แต่แล้วโจโฉก็ประสบปัญหา เมื่อทหารหลายนายของเขาที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมทางตอนใต้ ล้มป่วยจากโรคระบาดร้ายแรง เมื่อเห็นว่าโรคระบาดทำให้กองทหารของเขาล้มตายจำนวนมาก โจโฉก็ส่งศพติดเชื้อลอยไปทางฝั่งตรงข้ามหวังให้ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรล้มป่วย แม้จิวยี่กับขงเบ้งจะรีบลงมือแก้ไขอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีทหารจำนวนมากติดเชื้อและล้มป่วย ส่วนทหารที่เหลือก็เสียขวัญและกำลังใจอย่างหนัก เล่าปี่ขี่ม้าออกจากค่ายไปพร้อมกับ กวนอู, เตียวหุย และจูล่ง เหมือนกับจะละทิ้งฝ่ายสัมพันธมิตร
เมื่อเสบียงเริ่มขาดแคลน ขงเบ้งก็คิดแผนอันแยบยลเพื่อทำให้กองทัพของโจโฉอ่อนแอ เขาล่องเรือเบาบรรทุกหุ่นฟางออกไปยังค่ายเรือรบของโจโฉกลางดึก เป็นเหตุให้แม่ทัพเรือของโจโฉตกใจสั่งให้ทหารยิงธนูกว่าแสนดอกใส่เรือเปล่าของขงเบ้ง รุ่งขึ้นจึงดูเหมือนว่าสองแม่ทัพเรือระดับสูงของโจโฉมอบลูกธนูให้ฝ่ายศัตรูเป็นของกำนัล ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจดหมายปลอมที่จิวยี่เขียนขึ้นบรรยายแผนการยิงลูกธนูแสนดอกให้ฝ่ายศัตรูโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ โจโฉก็โกรธมากและสั่งประหารแม่ทัพทั้งสองทันที ฝ่ายทหารเรือเมื่อได้เห็นแม่ทัพถูกประหารก็เกิดกลัวตายและหลบหนีไป ทำให้ถูกสั่งฆ่าฐานเอาใจออกห่างเกือบทั้งหมด แต่แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โจโฉก็ยังวางแผนจะบุกโจมตีฝ่ายสัมพันธมิตรในเร็ววัน โดยออกมากล่าวคำปราศรัยกับทหารเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของกองทัพคืนมา
ที่ผาแดง จิวยี่ ขุนพลแห่งง่อก๊ก คิดแผนโจมตีกองทัพโจโฉด้วยไฟ ยุทธวิธีนี้แข็งแกร่งในทางทฤษฎี เพราะเรือรบของโจโฉถูกผูกติดกันเป็นแพ แต่ทิศทางลมตอนนี้มาจากตอนเหนือ ถ้าใช้ไฟ ลมก็จะพัดกลับมาเผาเรือของง่อก๊ก ส่วนซุนฮูหยิน เมื่อลวงแผนที่ค่ายมาจากโจโฉสำเร็จ ก็เดินทางกลับมาง่อก๊ก ซึ่งแผนที่นี้เป็นประโยชน์มากในการวางแผนโจมตีโจโฉ
แม้จิวยี่จะทัดทาน แต่เสี่ยวเกี้ยวก็ยืนยันจะเดินทางไปพบโจโฉเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาถอยทัพกลับ หรืออย่างน้อยก็ถ่วงเวลาเขาไว้สักพัก โจโฉที่เอ็นดูเสี่ยวเกี้ยวมาตั้งแต่เด็ก ตกหลุมรักความงามของเธอทันที (มีข่าวลือว่าแรงจูงใจที่โจโฉยกทัพมาครั้งนี้คือการชิงตัวเสี่ยวเกี้ยว)
ขงเบ้งกลับมาหาจิวยี่และแจ้งว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันที่หนาวที่สุด และทิศทางลมจะเปลี่ยน ดังนั้นยุทธวิธีไฟจะใช้ได้ผล กองทัพง่อก๊กจึงเตรียมพร้อมจู่โจม โดยเข้าล้อมค่ายโจโฉอย่างเงียบๆ และซุ่มลอยเรืออยู่บริเวณผาแดงเพื่อรอเวลาลมเปลี่ยนทิศ ขณะนั้นเสี่ยวเกี้ยวรับหน้าที่พูดคุยกับโจโฉเพื่อถ่วงเวลาและดึงความสนใจจากเขา
ในที่สุดลมก็เปลี่ยนทิศทางและกองทัพง่อก๊กก็บุกเข้าโจมตี เรือหลายลำถูกจุดไฟเผาแล้วส่งไปพุ่งชนกองเรือของโจโฉจนไฟลุกโชนทั้งค่าย จากนั้นทหารของจิวยี่ก็บุกเข้าโจมตีค่ายบนบกของโจโฉซ้ำ
การจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้โจโฉและทหารตกใจ แต่กองทหารม้าที่แข็งแกร่งของโจโฉก็เปลี่ยนกระดานศึกโดยต้อนทัพของง่อก๊กกลับไปยังแม่น้ำหวังกำจัดให้ราบคาบ ทันใดนั้น เล่าปี่และทหารก็ปรากฎตัวขึ้นมาช่วยตีทัพของโจโฉจนถอยร่นไปอีก จากนั้นกองกำลังสองก๊กก็ร่วมมือกันโจมตีป้อมปราการของโจโฉ ส่วนจิวยี่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากจูล่งจนเข้าไปช่วยชีวิตเสี่ยวเกี้ยวได้สำเร็จจากป้อมปราการที่กำลังลุกไหม้ ตัวโจโฉนั้นแทบหนีเอาชีวิตไม่รอด และสงครามครั้งมหึมานี้ก็จบลงที่ชัยชนะของซุนกวนแห่งง่อก๊กและเล่าปี่แห่งจ๊กก๊ก
แทนที่จะตามไปเอาชีวิตโจโฉ ขงเบ้งกลับแนะนำกองทหารให้ปล่อยโจโฉกลับไปพบองค์จักพรรดิด้วยความพ่ายแพ้ จากนั้นเขาก็บอกลาจิวยี่และเสี่ยวเกี้ยว ส่วนโจโฉนั้นมุ่งหน้ากลับบ้านที่ซึ่งบุตรชายกำลังตั้งตารอเขาอยู่
บทหนัง
การเขียนบทหนังเรื่องนี้ถือเป็นงานหินอย่างมาก และมีความยากถึง 3 ซับ 3 ซ้อน ด้วยกัน
ประการแรกคือ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 208 แต่ไม่เป็นที่รู้จักจนหลอกว้านจงเขียนวรรณกรรมเรื่องสามก๊กขึ้นมาในศตวรรษที่ 13 และในวรรณกรรม ข้อเท็จจริงหลายอย่างได้รับการปรุงแต่งเพื่ออรรถรสในการอ่าน
ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครขงเบ้ง ที่ปรึกษาแห่งจ๊กก๊ก ได้รับการยกย่องในวรรณกรรมว่าเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ดังที่เห็นเขาเปลี่ยนทิศทางลมและยืมลมตะวันออก จนสามารถนำฝ่ายสัมพันธมิตรสู่ชัยชนะในศึกผาแดงได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่เกิดศึกผาแดง ขงเบ้งอายุเพียง 27 ปี เขาเป็นชาวนาและบัณฑิตที่เพิ่งได้รับคัดเลือกจากเล่าปี่ให้เป็นผู้วางกลศึก ซึ่งเขาไม่ได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติหรือโหราศาสตร์ในการทำนายลมฟ้าอากาศใดๆเลย
วีรบุรุษตัวจริงของศึกผาแดงคือจิวยี่ ขุนพลแห่งง่อก๊ก ที่ในวรรณกรรมบรรยายว่าเป็นบุรุษใจแคบ คอยจ้องจะกำจัดขงเบ้งตลอดเวลาเพราะอิจฉาในความสามารถ จนกระอักเลือดตายในที่สุด
ผู้กำกับ จอห์น วู ต้องการดำเนินเรื่องตามประวัติศาสตร์ เขาเขียนบทหนังโดยอิงจากหนังสือประวัติศาสตร์ Chronicles of the Three Kingdoms และงานค้นคว้าต่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็ดึงเอาองค์ประกอบด้านความบันเทิงบางอย่างออกมาจากนิยายเพื่อไม่ให้แฟนนิยายผิดหวัง ยกตัวอย่างเช่น ฉากแสดงความปราดเปรื่องของขงเบ้งในการ “ลวงลูกธนูจากศัตรูโดยล่องเรือเบาบรรทุกหุ่นฟาง” ก็นำมาจากนิยาย ซึ่งถือเป็นการสร้างสมดุลที่ยากมากทีเดียว
ประการที่สอง ภาพยนตร์เรื่องนี้มิได้มีกลุ่มเป้าหมายเพียงชาวเอเชียเท่านั้น แต่ต้องการฉายให้ทั่วโลกได้ชม ตัวนวนิยายเองก็มีผู้อ่านอย่างกว้างขวาง มิใช่แค่ในประเทศที่พูดภาษาจีนอย่างจีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ แต่ยังมีประเทศอื่นๆในเอเชียด้วย เช่นญี่ปุ่นและเกาหลี ในประเทศเหล่านี้ สามก๊กแพร่หลายเป็นหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์การ์ตูนมากมาย ทั้งยังได้รับความสนใจจาก Koei บริษัทเกมชื่อดังของญี่ปุ่น สร้างเกมสามก๊กออกวางจำหน่ายจนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามมากกว่า 12 เกม (ทั้งเกมแอ๊คชั่นและวางแผนกลศึก)
เมื่อใครคนใดคนหนึ่งคิดจะสร้างสามก๊กเป็นภาพยนตร์ เขาคนนั้นจะต้องกล่าวถึงตัวละครขุนพลต่างๆ เช่น จูล่ง, เตียวหุย โดยเฉพาะกวนอู ที่ปัจจุบันได้รับการบูชาเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในเอเชียหลายประเทศ แต่สำหรับผู้ชมชาวตะวันตกอาจจะรู้สึกว่าตัวละครมีจำนวนมากเกินไป อีกทั้งชื่อยังคล้ายคลึงกันชวนให้สับสน ผู้บริหารสตูดิโอจากอเมริกาคนหนึ่งเสนอว่าให้รวมขุนพลฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นตัวละครเดียว ซึ่งนั่นคงไม่ต่างอะไรกับการรวมประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รูสเวลต์, วินตัน เชอร์ชิล และชาร์ลส์ เดอ กาลล์ เป็นตัวละครเดียวเมื่อจะทำหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2
ด้วยความที่มีตัวละครจำนวนมาก และมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นกว่าจะโยงไปถึงศึกผาแดง บทหนังจึงมีขนาดยาวมาก จนจินตนาการไม่ออกว่าผู้ชมชาวตะวันตกจะทนดูหนังภาษาจีนโดยนั่งอ่านบทบรรยายนานกว่า 4 ชั่วโมงได้อย่างไร ทางออกคือแบ่งหนังออกเป็น 2 ภาค สำหรับตลาดเอเชีย และรวบเป็นภาคเดียวสำหรับตลาดนานาชาติ โดยปะหัวว่าเป็น ”ภาพยนตร์แอ๊คชั่นโดย จอห์น วู”
ประการที่สาม สามก๊กเป็นเรื่องราวที่ชาวเอเชียคุ้นเคยดี ทุกคนที่ได้อ่านหนังสือจะมีมโนทัศน์เกี่ยวกับสามก๊กเป็นของตัวเอง มือเขียนบทก็เช่นกัน บางทีอาจมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2004 จนถึงต้นปี 2007 จอห์น วู เปลี่ยนมือเขียนบทเป็นว่าเล่น แต่ไม่มีบทของใครสักคนที่เขาพอใจ จนสุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเอง โดยให้คานชาน วางโครงสร้างให้ก่อน แล้วจึงให้กว๋อเจิ้ง แจกแจงตัวละครและฉากสำคัญ
กว๋อเจิ้งอยู่กับหนังตลอดการถ่ายทำ และเป็นคนดูแลเรื่องการปรับเปลี่ยนบทเล็กๆน้อยระหว่างงานสร้าง
สถานที่ถ่ายทำ
ในความเป็นจริง ศึกผาแดงเกิดขึ้นที่ป่าอีกา (Crow Forest) ซึ่งโจโฉใช้เป็นที่มั่น ป่าอีกาตั้งอยู่ริมฝั่งทางตอนเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียง ตรงข้ามกับผาแดง (Red Cliff) ที่ทอดตัวขนานอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ผาแดงเป็นสถานที่ตั้งค่ายของกองทัพสัมพันธมิตร แต่ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการกระทั่งปัจจุบัน เส้นทางและความยาวของแม่น้ำแยงซีเกียงเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ ค.ศ. 208 อีกทั้งชื่อของสถานที่สำคัญหลายแห่งก็ยังเปลี่ยนไปด้วย
ในปี 1998 เมืองผูฉี (Puqi) ในมณฑลหูเป่ย ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อปี้ (Chibi แปลว่า ผาแดง) เพื่อโยงเข้ากับชื่อสนามรบในประวัติศาสตร์ แม้ที่นั่นจะเป็นสนามรบของศึกผาแดงจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่กองถ่ายภาพยนตร์จะเข้าไปทำงาน เพราะมีอุปสรรคด้านการขนส่ง อีกทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ยังต่างจากที่ จอห์น วู จินตนาการไว้มาก
ตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2004 เป็นต้นมา ทีมงานได้ออกเดินทางหาสถานที่ถ่ายทำในมณฑลต่างๆของประเทศจีนกว่า 14 แห่ง โดยผู้กำกับ จอห์น วู และผู้อำนวยการสร้าง เทอเรนซ์ จาง ไปสำรวจเอง 5 แห่ง ได้แก่ มณฑลหูเป่ย, เจียงสู, เจ้อเจียง, เหอเป่ย และยูนาน สุดท้ายจอห์น วู ก็เลือกอี่เสียน ในมณฑลเหอเป่ย ซึ่งอยู่ห่างจากปักกิ่งประมาณ 3 ชั่วโมงเดินรถ เมื่อนั่งเรือเร็วผ่านอ่างเก็บน้ำอันเก๋อจวง (Angezhuang) ในอี่เสียน จอห์น วู ก็สังเกตเห็นแผ่นดินใกล้ๆ ที่เขาคิดว่าเหมาะจะสร้างเป็นป่าอีกา ค่ายทหารของโจโฉ
แต่ก็มีปัญหา 3 ประการด้วยกัน คือ หนึ่ง ไม่มีอะไรที่มองดูคล้ายผาแดงอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย สอง พาหนะทุกประเภทไม่สามารถเข้าไปบริเวณนั้นได้ และสาม จอห์น วู คิดว่าแผ่นดินตรงนั้นราบเกินไป แม้สถานที่จะเพอร์เฟ็คต์ก็ตาม
ทีมงานจึงสร้างทางเชื่อมขึ้นระหว่างถนนใหญ่กับพื้นที่ตรงนั้น ส่วนสถานที่ถ่ายทำสำหรับผาแดงนั้น จอห์น วู ไปพบในอีกที่หนึ่ง ซึ่งต้องใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์แต่งภาพให้เหมือนอยู่ติดกับป่าอีกา แล้ววูก็สร้างป้อมปราการขนาดมหึมา ความกว้างเท่า 2 สนามฟุตบอล สูง 40 ฟุต ขึ้นตรงนั้น โดยมีหอสังเกตการณ์อยู่บนยอดด้วย
แม้น้ำในอ่างเก็บน้ำจะมีไว้สำหรับการชลประทานเท่านั้น แต่พื้นดินรอบๆก็ได้รับการปกป้องทางสภาพแวดล้อม ทีมงานต้องขออนุญาตเป็นพิเศษในการสร้างภูเขา ดินจากเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์ถูกขนมาถมแบบฟุตต่อฟุตบริเวณอ่างเก็บน้ำ ซึ่งงานนี้ใช้เวลาสร้างหลายเดือนจนเสร็จสิ้นในปี 2006 ก่อนที่บทจะเขียนเสร็จ และก่อนรวบรวมทุนได้เสียอีก ในที่สุดวูและจางก็ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าการเสี่ยง เพราะป้อมปราการเป็นตัวแทนแสดงถึงแสนยานุภาพของกองทัพโจโฉได้ดี และกลายเป็นจุดเด่นจุดหนึ่งของสงครามครั้งนี้
งานกำกับศิลป์
เมื่อต้องหาผู้ออกแบบงานสร้าง ทีมงานก็เลือกไม่ยากเลย เพราะไม่มีใครที่เหมาะสมกับงานนี้เท่ากับนักออกแบบงานสร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ ทิม ยิบ อีกแล้ว
หลังจากประสบความสำเร็จจาก Crouching Tiger, Hidden Dragon ทิมก็มีผลงานภาพยนตร์จีนฟอร์มใหญ่อีก 2 เรื่อง ได้แก่ The Promise ของเฉินข่ายเก๋อ และ The Banquet ของเฟิงเสี่ยวกัง ซึ่งทั้งสามเรื่องล้วนมีองค์ประกอบที่ต่างกันแบบสุดขั้ว ทั้งเรียบง่ายและโดดเด่น ธรรมดาและหรูหรา
ทิมไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านภาพ แต่ยังมีประสบการณ์สูงในการประสานงานกับหน่วยต่างๆในฝ่ายศิลป์ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้มีทีมงานฝ่ายศิลป์กว่าพันชีวิต ทั้งดีไซเนอร์, ช่างไม้, ช่างก่อสร้าง, ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า, พนักงานหาเครื่องประกอบฉาก และแม้แต่ช่างต่อเรือ
หลังจากปรึกษากับจอห์น วู ทิมก็เริ่มงานด้วยการออกแบบฉากสำคัญๆของหนัง ขณะเดียวกันก็ช่วยกัน ศิลปะอันประณีตน่าประทับใจของฉากเหล่านั้นจึงถูกสร้างขึ้น ขณะเดียวกันเขากับทีมงานก็ทำการค้นคว้าอย่างหนักไม่เพียงเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและเสื้อผ้า แต่เกี่ยวกับเรือ, อาวุธ และอุปกรณ์ประกอบฉากอื่นๆด้วย สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับเน้นเรื่องรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ว่าต้องถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทิมเผยว่า “สิ่งที่ยากที่สุดในการทำ Red Cliff ก็คือการสร้างความเป็นเอกภาพในงานศิลป์ มีข้าวของเครื่องใช้ยุคสามก๊กเหลืออยู่น้อยมากในปัจจุบัน และรูปภาพทั้งหมดมาจากนวนิยาย และนวนิยายก็เขียนขึ้นมาให้อัศจรรย์เกินจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน ผู้กำกับ จอห์น วู ต้องการเล่าเรื่องใหม่ที่ต่างไปจากฉบับเดิมเล็กน้อย โดยเน้นให้จิวยี่เป็นผู้นำทัพต่อสู้กับโจโฉ เรื่องราวของเขาเป็นการแก้ไขมโนภาพของนิยายใหม่ คนยุคนี้ไม่มีใครเคยเห็นสงครามทางเรือของจีนยุคโบราณ, เรือรบถูกไฟเผา หรือฉากเรือบรรทุกหุ่นฟาง เพราะฉะนั้นเมื่อฉากเหล่านั้นถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ พวกเขาจึงรู้สึกคุ้นอย่างประหลาด แต่ความจริงแล้ว การถ่ายทำฉากเหล่านี้อย่างใหญ่โตเต็มรูปแบบยังไม่เคยมีมาก่อน”
“เราต้องสร้างภาพทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เหล่านี้ขึ้นใหม่แล้วกระตุ้นให้มันมีชีวิตขึ้นมา ผมมีความตั้งใจอยู่สองอย่างในการทำ Red Cliff อย่างแรกคือ ผมต้องการทำทุกอย่างในสเกลใหญ่ ด้วยบรรยากาศยิ่งใหญ่คล้ายกับภาพวาดคลาสสิกของจีน สองคือผมต้องการสร้างทุกอย่างให้ละเอียดและถูกต้อง ผมพยายามใช้เวลาดูข้าวของเครื่องใช้จากยุคนั้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รายละเอียดเหล่านั้นทำให้การออกแบบงานสร้างมีชีวิตชีวา และหลายอย่างก็เป็นเอกลักษณ์ของยุคนั้น ราชวงศ์ฮั่นเป็นที่รู้จักเรื่องความโอ่อ่าและวิถีอันยิ่งใหญ่ แต่ก็โดดเด่นเรื่องรายละเอียดอันงดงาม เราตั้งใจเป็นพิเศษในการสร้างรายละเอียดเหล่านั้นขึ้นใหม่ให้ถูกต้อง”
“เราปรึกษาผู้เชี่ยวชาญผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์แขนงต่างๆหลายท่าน รวมทั้งเรื่องการก่อสร้าง, การทหาร, ระบบกฎหมาย, อาวุธยุทโธปกรณ์, เครื่องแต่งกาย และวิถีชีวิตของคนยุคนั้น ทั้งชาวบ้านและขุนนาง ผมเองเดินทางไปญี่ปุ่นด้วย เพื่อไปพบผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับยุคสามก๊กที่นั่น และพบว่าพวกเขาปรับปรุงข้อมูลใหม่แล้ว และผมพบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผลิตชุดเกราะและอาวุธโบราณด้วย ซึ่งนั่นช่วยได้เยอะเลย”
“Red Cliff กล่าวถึงสามอาณาจักรก่อนการก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ได้แก่ อาณาจักรวุย, จ๊ก และง่อ อาณาจักรเหล่านี้กำลังทำสงครามกลางเมืองกัน ในตอนนั้น ภาพลักษณ์ของแต่ละกองทัพไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผมจึงเริ่มจากการดูเครื่องแต่งกายของนักเรียนชายสมัยนั้น และใช้วิธีตัดเย็บแบบตะวันตก เสื้อผ้าแต่ละชุดต้องมีมาตรฐานสูง เพราะฉะนั้นเมื่อคุณดูหนัง จะเห็นว่าเครื่องแต่งกายมีความสง่างามมาก เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของขุนนางและปัญญาชนยุคโบราณขึ้นใหม่”
“ยุคราชวงศ์จิ๋น ยังไม่มีการใช้เกราะโลหะย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้นจึงมีเพียงกองทัพของโจโฉเท่านั้นที่ใช้เกราะเหล็กแต็มรูปแบบ”
“Red Cliff เป็นการถักทอจังหวะและเรื่องราวอันซับซ้อนเข้าด้วยกัน กล้องที่เคลื่อนที่ไปมาช่วยสร้างจังหวะให้หนัง ค่ายทหารถูกสร้างขึ้นให้มีควมสูงลดหลั่นกันไปแสดงถึงอำนาจ ค่ายของโจโฉมีการออกแบบแนวขวาง ขณะที่ง่อก๊กจะสง่างามกว่า ค่ายทหารทั้งสองค่ายแสดงถึงความเป็นกองทัพฝ่ายตรงข้ามกัน และความแข็งแกร่งของแต่ละฝ่าย”
“จอห์น วู ได้สร้างวีรบุรุษอมตะขึ้นอีกครั้ง จากการผสานประวัติศาสตร์ เข้ากับจินตนาการ”
ทุนสร้าง
ด้วยทุนสร้างกว่า 80 ล้านเหรียญสหัฐฯ Red Cliff กลายเป็นภาพยนตร์ภาษาจีนที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดเท่า รวมทั้งทำลายสถิติภาพยนตร์เอเชียที่เคยสร้างมาด้วย เมื่อผู้อำนวย เทอร์เรนซ์ จาง เข้าไปขอความสนับสนุนจากบริษัท China Film Group Corporation ฮาน ซานปิง ประธานบริษัทก็ตกลงร่วมงานด้วยทันที แล้วบริษัท China Film Group Corporation และ Lion Rock Productions ของจอห์น วู และเทอร์เรนซ์ จาง ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ลอสแองเจลลิส ก็เซ็นต์สัญญาร่วมทุนสร้างและจัดจำหน่ายกันเป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 28 สิงหาคม 2006
หลังจากนั้นไม่นาน บริษัท CMC Entertainment จากไต้หวัน, Avex Entertainment จากญี่ปุ่น ร่วมด้วย Chengtian Entertainment จากจีน และ Showbox จากเกาหลี ก็ตามมาร่วมลงทุน ต่อมาในปี 2006 หลังงาน AFM (American Film Market) Summit Entertainment ก็เซ็นต์สัญญารับหน้าที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายหนังในตลาดต่างประเทศ Summit เริ่มขายหนังล่วงหน้าที่เทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินในปี 2007 โดยยุโรปหลายประเทศซื้อลิขสิทธิ์ไป สองเดือนหลังจากนั้น Red Cliff จึงเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำ และเทอร์เรนซ์ จาง ก็ขายลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายในฮ่องกงให้บริษัท Mei Ah
ธนาคาร Standard Chartered แห่งฮ่องกง และบริษัท CineFinance ร่วมสนับสนุนทุนสร้างที่เหลือจนเสร็จสมบูรณ์ Red Cliff เริ่มถ่ายทำเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2007 โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 203 วัน (รวมการถ่ายเสริมครั้งที่สอง 117 วัน และครั้งที่สาม 27 วัน) ภายในระยะเวลา 8 เดือนครึ่ง
เนื่องจากบทหนังมีความยาวมาก Red Cliff จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค เพื่อออกฉายในเอเชีย แต่รวมเป็นภาคเดียวสำหรับฉายในประเทศอื่นๆทั่วโลก