กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--ปภ.
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตือนสภาพอากาศเย็นและแห้งแล้งในช่วงฤดูหนาว อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อภาคการเกษตรทั้งการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ได้
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ในขณะนี้ ลมหนาวพัดปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีอากาศหนาวเย็น และมีหมอกหนา ในช่วงเช้า และอาจเกิดน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะทำให้ข้าวที่กำลังออกรวงมีเมล็ดลีบ พืชไร่ชะงักการเจริญเติบโต พืชผักใบจะหงิกงอ ไหม้เกรียม กล้วย มะพร้าวและทุเรียน ใบจะแห้งและร่วง หากเกิดติดต่อกันหลายวัน จะสร้างความเสียหายมากขึ้น เกษตรกรจึงต้องสร้างสิ่งปกคลุมป้องกัน นำพลาสติกมาหุ้มพืชผลที่กำลังออกดอก หรือกางมุ้งปกคลุมทั้งต้น เพื่อป้องกันมิให้น้ำในอากาศกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะตามพืชผล นอกจากนี้สภาพอากาศ ที่แห้งแล้ง อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรจึงต้องวางแผน การปลูกพืชที่ทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้ง และดูแลเรื่องระบบน้ำ โดยปรับปรุงให้บ่อน้ำอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ งดเว้นการปลูกข้าวนาปรัง เลือกปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย หรือพืชล้มลุกที่ให้ผลเร็ว เช่น ข้าวโพด ข้าวฟ่าง พืชตระกูลถั่ว และควรหาใบไม้แห้ง ใบตองแห้ง ทางมะพร้าว หรือพลาสติกมาหุ้มพืชผลที่กำลังออกดอก หรือกางมุ้ง ปกคลุมทั้งต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำจากดินให้ช้าลง ห้ามกำจัดวัชพืช หรือไถพรวนดิน เพราะทำให้ดินแห้งเร็ว และให้ระวังโรคระบาดของแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนกออ้อย เพลี้ยกระโดด สีน้ำตาล ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง ที่ต้นข้าว บริเวณกาบใบเหนือระดับน้ำ ทำให้ใบต้นข้าวหงิก และแห้งตาย เป็นหย่อมๆ ตลอดจนดูแลรักษาเรือกสวนไร่นา จัดทำแนวกันไฟ งดเว้นการเผาฟาง หรือหญ้าแห้ง เพราะเพลิงอาจลุกลามรวดเร็ว สร้างความเสียหายในวงกว้างได้ และทำให้เกิดควันปกคลุมท้องถนน ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน แล้วยังทำให้ดินสูญเสียความชุ่มชื้นและอินทรีวัตถุ ที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอีกด้วย
นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า นอกจากอากาศหนาวเย็นจะส่งผลกระทบต่อเกษตรที่ทำการ เพาะปลูกแล้ว เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน เกษตรกรจึงต้องเพิ่มความเอาใจใส่ดูแลผลิตผลของตนให้มากขึ้น หากสังเกตพบเห็นสิ่งผิดปกติ ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่ทันที เพื่อหาวิธีป้องกันและแก้ไขโดยเร่งด่วนต่อไป--จบ--