เป็นฉากแรก ๆ ตอนที่เจ้ยมันตามจีบเรา ฉากนี้มันต้องลงไปจับปลาใกล้ ๆ กันไง ก็เลยหยอกเขียวมันเล่นหน่อย เขียวเอ้ย ระวังล้วงโดนจริง ๆ นะ เดี๋ยวอย่าไปหักคอมันนะ ไม่ได้เลยนะ ตายเลยนะ ก็บอกไอ้เขียวอย่าล้วงให้โดนล่ะ อย่าล้วงให้โดนเอาแค่ใกล้ ๆ ขาพอ อย่าเลยขานะ อย่าเลยขึ้นมาบนขาล่ะ ไม่งั้นเจอประหลาดุกตัวจริงแน่ ก็หยอกกันเล่น หัวเราะกันไม่มีอะไร เขียวมันก็ขำเล่นไม่ได้ บางทีพูดเรื่องทะลึ่งลามกอะไรกัน ไอ้เขียวมันก็เขิน มันก็อาย ก็หยอกล้อกันเล่นตามประสาคนกลางคืนด้วยกัน แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก ส่วนมากก็เป็นเรื่องทะลึ่งตึงตังกันแค่นั้นแหละ ทะลึ่งกันทั้งกองนั่นแหละ
พี่เขียวมีฉากเด่น ๆ อะไรบ้างไหม ?
มีนะ เขียวเขาจะสวยเลยล่ะ พอเขาสวยแล้วแหยมก็รู้สึกผิด ตอนที่เห็นเจ้ยเค้าสวยแล้วจำเค้าไม่ได้ แหยมมานั่งนึกว่าทำไมไม่รักเค้าเพราะเค้าอุตส่าห์...ขนาดเค้าสวยเค้าก็ไม่ลืมเรา เจ้ยมันรักเราคิดถึงเราตลอด เค้าไม่เคยลืมเราเลย แต่เราสิกลับจำเค้าไม่ได้ ยิ่ง...คิดถึงเขาหัวปักหัวปำเลย บางทีในหนังส่วนมากตัวแหยมเนี่ยจะรู้สึกว่าทำไมตัวเองไม่รักเค้า แต่พอเค้าไม่อยู่แล้วก็แอบคิดถึงเค้า ใจจริงไม่อยากให้เค้าสวยด้วยนะ อยากให้เค้าเป็นอย่างที่เค้าเป็นด้วย ในแบบที่เค้าเป็น
พี่เขียวเล่าให้ฟังว่ามีอยู่ฉากนึงที่พี่เขียวไฝหลุด แล้วกลัวว่าพี่หม่ำจะว่าเอา เป็นฉากไหนเกิดอะไรขึ้น ?
อ๋อ ...ไฝมันหลุดไง เค้าก็ไม่กล้าบอกกลัวว่าจะเสียเวลา ไฝมันหลุดแล้วก็หลุดไปสิ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วล่ะ เค้ากลัวไปเอง รู้สึกว่าจะเป็นฉากที่อยู่ตรงขอนไม้อะไรซักอย่าง หรือตรงเตียงอะไรซักอย่างนึงนี่แหละ เขียวเค้าทำไฝหลุด เค้าก็แกล้งจับไว้ เราเห็นก็เลยถามไปว่าเฮ้ยทำอะไรอ่ะ เค้าก็สะดุ้ง บอกว่าไฝหลุดพี่ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวติดเลย ๆ ตะกุกตะกักมีพิรุธ เราก็เออ ๆ ไม่เป็นไรหรอกไฝหลุดก็ติด มึงไม่ต้องไปกังวลหรอก ไม่เป็นไรหรอก คือมันกลัวไปเองว่าผมจะดุ
พี่เขียวมีส่วนร่วมในการช่วยคิดมุขด้วยไหม ?
มี ๆ เค้าเอากลอนมาให้ กลอนเค้าคิดเองเลยนะ เออ..ดี ๆ มีกี่กลอน 3 กลอนใช่มั้ย เดี๋ยวเอาลง 3 อันเลย มันก็ลง 3 ล็อค 3 ลำเลย อันสุดท้ายก็คืออันที่ตกตรงทางเดิน กำลังเขี่ย ๆ กองฟางอยู่ เขาว่ากลอนมาจีบ เราก็เลยว่าต่อตอนท้ายกลอนไปให้ว่า “ได้โปรดไปไกล ๆ ส้นเท้าพี่” อะไรนั่นแหละ
ขอย้อนกลับไปตอนสมัยที่พี่หม่ำเอาบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมไปให้เสี่ยดู เสี่ยว่าไงบ้าง ?
เสี่ยเค้าคุยไม่กี่คำหรอก คุย 2-3 คำ แล้วเค้าก็หนีไป ไม่รู้เค้าจะเอาหรือไม่เอาไม่รู้ ผมก็หันมาถามพี่ปรัชกับพี่พันนาว่าเค้าจะเอารึเปล่า พี่เค้าก็บอกว่าเสี่ยเค้าเอาแล้ว ก็ถือบท ถือโปรเจคต์ไปยังไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าเป็นหนังแอ๊คชั่น อะไรพวกนี้ เพราะเสี่ยเค้าจะเป็นคนแบบมองอะไรทะลุ เค้ามองหน้า มองตา มองคำพูด มองบุคลิก มองโหง๋วเฮ้ง เค้าไม่ต้องลังเลอะไรมากเลย เออ..ทำเลย แล้วเค้าก็ไป สงสัยเมาขนมไหว้พระจันทร์วันนั้นมั้ง เสี่ยเจียงสงสัยเมาขนมไหว้พระจันทร์
แล้วเรื่องแหยมนี้หล่ะ เสี่ยว่าไงตอนที่เอาไปเสนอ ?
เค้าก็บอก หนังอะไรของมึงว่ะ หนังรักครับ คอเมดี้ โรแมนติกครับ หนังย้อนยุคไปเมื่อ 40 ปีครับ โอ้...หนังอะไรของมึงวะ เออ...ไปๆๆๆๆ ทำๆๆๆ
ทำไมเสี่ยถึงเข้าใจพี่ง่ายจัง ?
อาจจะเป็นเพราะเค้ามีความรู้สึกว่า ไอ้หม่ำมันมีความคิดของมันนะ ที่แน่ ๆ ต้องเป็นหนังตลกแน่นอน ชัดเจนเลยหนังตลกเลย แล้วพักหลังจะคุยโปรเจคต์อะไร ต้องนั่งให้แกสบายใจ ...เสี่ยครับ ผมมีอันนี้นะ อันนี้นะ เสี่ยว่าอะไรของมึงอีกล่ะ เสี่ยเจียงเค้าก็จะถาม หนังมันเป็นอย่างไง เราก็อธิบายไปอย่างงี้นะ เป็นอย่างงี้นะ เอ้อ เหรอ..ไปๆๆๆไปจัดการมา แต่พักหลังแกจะพูดอย่างงี้แล้ว เขาไว้ใจเราแล้ว
ได้เห็นพัฒนาการตัวเองไหมจากการกำกับหนังเรื่องที่ 2 ?
มันจะพัฒนาในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเดิน จะเสื้อผ้า รองเท้า คำพูด มันรู้สึกจะชัดเจนขึ้น กล้อง.มุมกล้องเราจะรู้เลย พอดูในจอปั๊บจะรู้เลย ไมใช่อย่างนี้ มาเบียดตรงนี้หน่อย แบ็คกราวด์ด้านหลังแบบนี้แหละใช่ เอ้ยแสงไม่ใช่ แต่เราบอกไม่ได้ว่าใช้แสงอะไร เราไม่รู้ แต่เรารู้สึกได้ว่ามันน่าจะเป็นสีนั้นนะ เออ..เฟรมมันน่าจะเป็นแบบนี้นะ เราจะพัฒนาการกำกับมาจากบอดี้การ์ดที่เราดูหลายๆ รอบ แล้วก็เอาหนังแหยม มาเช็คดูหลายๆ รอบ มันรู้ด้วยตัวเองเลยว่าเราพัฒนาขึ้นมาอีกหน่อยนึงแล้ว แต่บอดี้การ์ดภาค 2 คอยดู มันจะพัฒนามากกว่าเดิม เริ่มจะชัดเจนแล้ว เพราะผมเป็นคนชอบเรียนรู้และเรียนรู้ได้เร็ว ผมเป็นคนที่สนใจอะไรแล้วสนใจจริง จริงจังกับมัน
แสดงว่าตอนนี้ก็เตรียมงานบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมภาค 2 อยู่ ?
ใช่ เตรียมไปด้วย ทำแหยมไปด้วย ก็เตรียมบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมภาค 2 ไปด้วย
เคยคิดไหมว่าตัวเองจะเป็นผู้กำกับหนังไปอีกนานแค่ไหน ?
ไปเรื่อย ๆ คิดว่าไปเรื่อย ๆ เพราะว่าการทำหนังมันเป็นงานที่เราชอบ มีสหมงคลก็ต้องมีบั้งไฟฟิล์ม
ตอนนี้ใคร ๆ ก็บอกว่าพี่เป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้ว พี่คิดยังไงกับคำ ๆ นี้ ?
ผมว่า คำว่าซุปเปอร์สตาร์ คนคิดไปเองละมั้ง ก็ทำงานของเราไปทำให้ดีที่สุดกับงานชิ้นนั้น ผมว่ามันแล้วแต่ใครจะบอกว่าคนนั้น เบอร์ 1 คนนี้เบอร์ 2 คนนั้นเบอร์ 3 ผมว่าไม่ใช่หรอก มันแล้วแต่คนชอบ คนไม่ค่อยชอบผมก็มี หาว่าผมทะลึ่งตึงตัง คนที่ชอบผมก็มี มันแล้วแต่ ไม่มีใครหรอกเบอร์ 1 เบอร์ 2 ซุปเปอร์สตาร์ เบอร์ 4 เบอร์ 5 มันไม่ใช่ ใช้กับผมไม่ได้ เป็นคำที่ไม่รู้สิ สุดยอดเหรอ ไม่ใช่หรอก
แล้วพี่คิดว่าสุดยอดของพี่จะต้องเป็นยังไง อยู่ตรงไหน ?
ต้องหยุดสิ นั่นแหละคืออมตะ เราไม่หยุดก็แสดงว่าเรายังไม่ถึงจุดสุดยอด ผมยังไม่ใช่คนที่ตลกที่สุดนะครับ มันแล้วแต่คนชอบ ความชื่นชอบแต่ละคนมันมีแตกต่างกันไป บางคนบอกว่าไม่ขำเลยมุขมึง เห็นหน้าตาแล้วอาจจะขยะแขยงก็ได้ บางคนเห็นแล้วอาจจะอยากกอดก็ได้
เคยคิดไหมว่าตัวเองจะหยุดแค่ไหนกับอาชีพอะไรก็แล้วแต่ในวงการนี้ ?
วันข้างหน้าเราก็ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหน แต่เท่าที่อยู่ทุกวันนี้เราต้องทำงานชิ้นนั้นให้มันดีที่สุด ทุกชิ้นงานเราต้องตั้งใจทำแล้วก็รักมัน มีความรู้สึกที่ดีกับงานชิ้นนั้น แล้วก็ทำให้เต็มที่ แล้วคนที่ให้เราทำ เค้าก็จะไว้วางใจเรา พอเวลาเราพูดขึ้นมาเราจะได้ไม่ต้องพูดมาก พูด 2-3 คำก็เข้าใจ เหมือนที่เสี่ยพูด ไปๆๆ ไปทำ ไปทำ
พี่หม่ำมีคติในการทำงานไหม ?
จริงใจ ตั้งใจ
ระหว่างอาชีพต่าง ๆที่พี่ทำอยู่นี่ อยากให้คนดูจดจำอะไรจากพี่ไป ?
ถ้าอยากจะให้จดจำนะครับ ถ้าจะให้เป็นพิธีกร เล่นตลกคาเฟ่ มาทำหนัง หรือว่าจะมาแสดงหนัง แสดงละครตลกอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าภาพผมที่จำได้ง่ายคือภาพของ ...ของการที่ทำให้คนดูได้มีความสุข คือการทำให้คนมีเสียงหัวเราะนั่นแหละ คือภาพที่น่าจดจำของผมทุกๆ ภาพ เป็นเรื่องของการหัวเราะผมอยากให้จำภาพของผมแบบนี้ดีกว่า--จบ--